ตลาดแฟชั่นแบรนด์เนมในประเทศไทยมีมูลค่าสูงกว่า 200,000 ล้านบาท และอุตสาหกรรมแฟชั่นแบรนด์เนมในประเทศไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการแต่งตัวและการใช้ชีวิตอย่างมีสไตล์ ท่ามกลางกระแสนี้ แบรนด์เนมมือสอง กำลังขึ้นแท่นเป็นตัวเลือกยอดนิยม ด้วยความคุ้มค่า ดีไซน์ และความหมายเชิงยั่งยืน
จึงเป็นเหตุผลที่ “แร็กแท็ก” (RAGTAG) แบรนด์แฟชั่นมือสองจากญี่ปุ่นซึ่งมีชื่อเสียงกว่า 40 ปี เลือกเปิดสาขาแรกนอกประเทศญี่ปุ่นที่ One Bangkok พร้อมนำเสนอประสบการณ์การช้อป “มือสองคุณภาพสูง” ที่จะยกระดับมาตรฐานใหม่ให้กับให้กับแฟชั่นนิสต้าชาวไทย
ทำไมมือสองถึงมาแรง?
จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการที่ “แบรนด์เนมมือสอง” กลายมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้บริโภคคนไทยก็ด้วยเหตุผล 3 ประเด็น 1. ต้องการนำสนอความเป็นตัวตน (Self-expression): คนรุ่นใหม่มองหาแฟชั่นที่แตกต่าง ไม่ซ้ำใคร และสะท้อนสไตล์ของตนเอง พฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทยที่กล้าลอง มีความสนุกกับการแต่งตัว โดยไม่จำกัดอายุ ลูกค้าของ RAGTAG มีตั้งแต่ 17 จนถึงมากกว่า 60 ปี อีกทั้งชื่นชอบสินค้าที่มีสีสันสดใส 2.ความคุ้มค่า (Value for Money): สถานการณ์เศรษฐกิจทำให้ผู้บริโภคมองหาทางเลือกที่สมเหตุสมผลมากกว่าการซื้อสินค้าแบรนด์เนมมือหนึ่ง 3.พลังแนวคิดเรื่องการใช้สินค้าอย่างยั่งยืน ทั้งหมดนี้ได้ สร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ช่วยขับเคลื่อนตลาดมือสอง
RAGTAG กับแผนการรุกตลาดเมืองไทย
RAGTAG ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1985 ด้วยแนวคิดที่ว่า เติมเต็มความปรารถนาของแต่ละคนผ่านแฟชั่น ไม่ว่าจะเป็น “แม้งบจะไม่มาก แต่ก็อยากได้แบรนด์ที่ชื่นชอบ” หรือ “อยากสนุกกับการแต่งตัวมากขึ้น” และมุ่งมั่นทำให้ราคาถูกกว่าสินค้ามือถือถึง 50–80% ในประเทศญี่ปุ่นนอกจาก ร้าน RAGTAG จำนวน 24 สาขา ที่รวมสินค้ากว่า 5,000 แบรนด์ ยังมี rt ที่จำหน่ายสินค้าคุณภาพสูงจากแบรนด์หรูที่ไม่มีวันตกเทรนด์
ในประเทศไทย RAGTAG ได้รุกเข้าสู่ตลาด โดยร่วมทุนกับ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในเครือสหกรุ๊ป ที่ผ่านมาจึงมีการชิมลางตลาด ผ่านการเปิดบูธในงานเครือสหพัฒน์แฟร์ครั้งล่าสุด และได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยให้ทางแบรนด์ได้ศึกษาตลาดและรู้จักพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทย จนกลายเป็นร้านสาขาแรกที่ One Bangkok ซึ่งเมื่อเริ่ม Soft Launchก็มีลูกค้าที่รู้จัก RAGTAG อยู่แล้วเข้ามาใช้บริการ ไปจนถึงลูกค้าใหม่ๆ ที่แวะเวียนเข้ามาดูสินค้า
สิ่งที่ RAGTAG แตกต่างจากร้านแบรนด์เนมมือสองทั่วไปคือ สินค้าทุกชิ้นจะผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ จากญี่ปุ่น ร้านในไทยก็จะมีผู้เชี่ยวชาญที่ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งผ่านการอบรมและสะสมประสบการณ์มาประจำอยู่ที่ร้านโดยเฉพาะ ทำให้ลูกค้าสามารถไว้วางใจได้ทั้งฝั่งการซื้อ และขายสินค้า อีกทั้งการนำเสนอระดับคุณภาพให้เข้าใจง่าย เช่น N สินค้าเกือบใหม่ และหลังจากนั้นก็ไล่เรียงตามตัวอักษร A, B,C,Dตามระดับสภาพของสินค้าแต่ละชิ้น ด้วยระดับราคาที่มีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักแสน โดยสินค้ายอดนิยมของญี่ปุ่นและไทยมีความใกล้เคียงกัน นั่นก็คือกระเป๋า และจิวเวลรี่
สำหรับเป้าหมายในระยะแรก RAGTAG ตั้งเป้าขยายสาขาที่ 2 ภายในปีนี้ และภายใน 3–5 ปีข้างหน้า จะเปิดเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 10 สาขา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมเสริมความแข็งแกร่งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ ส่วนเป้าหมายในระยะยาวคือการนำเสนอทางเลือกในการช้อปสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมมือสอง สร้างประสบการณ์ใหม่ในการช็อปสินค้า Pre-owned Fashion ที่เน้นความหรูหรา คัดสรรคุณภาพสูง และความยั่งยืน ให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบแฟชั่น ซึ่งเป็นฐานสำคัญของการเติบโต






