เมื่ออายุแตะ 45 ปี หลายคนอาจยังรู้สึกว่ากำลังอยู่ในช่วงพีคของชีวิตการทำงาน แต่ความจริงอีกด้านก็คือหลายบริษัทเริ่มยื่นข้อเสนอ Early Retire ให้กับพนักงานในวัยดังกล่าวกันแล้ว (ซึ่งกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนใหม่ของตลาดแรงงานไทยในช่วง 2 – 3 วันนี้ได้เลยทีเดียว) ทว่าหากมองอีกมุม “วัย 45+” ก็ยังไม่สายที่จะเริ่มต้นใหม่ เหมือนกับ “โมโมฟุคุ อันโดะ” (Momofuku Ando) ผู้ก่อตั้งนิชชิน (Nissin) ที่ลงมือสร้างตำนานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในวัย 48 ปี
สำหรับ Momofuku Ando เขาเกิดในปี ค.ศ. 1910 ที่เกาลูน บนเกาะไต้หวัน (ในสมัยนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น) และในเวลาต่อมา ได้ย้ายไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นในสาขาเศรษฐศาสตร์ หลังจากนั้นเขาทำธุรกิจเล็ก ๆ เช่น การขายเสื้อผ้าและสิ่งทอ แต่เผชิญกับความยากลำบากหลายครั้ง รวมถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำให้ธุรกิจขาดทุน
จุดเริ่มต้นของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเผชิญกับปัญหาขาดแคลนอาหาร ประชาชนจำนวนมากต้องต่อแถวซื้ออาหารแจกฟรีจากรัฐบาล ซึ่งคุณ Ando ได้เห็นภาพเหล่านี้ และตั้งคำถามว่า “ทำไมรัฐบาลไม่แจกจ่ายอาหารที่ทำจากเส้นบะหมี่แทนข้าวสาลีที่คนญี่ปุ่นไม่คุ้นเคย”
จากนั้น ในปี ค.ศ. 1958 ตอนที่เขาอายุได้ 48 ปี คุณ Ando ได้ทดลองคิดค้นสูตรบะหมี่ที่สามารถเก็บได้นานและทำกินได้ง่าย จนกระทั่งประสบความสำเร็จ และสามารถวางจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “Chicken Ramen” ได้เป็นครั้งแรกของโลกในวันที่ 25 สิงหาคม 1958
จุดประกายธุรกิจ Cup Noodles
ต่อมาในปี ค.ศ. 1971 คุณ Ando ได้ต่อยอดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปสู่ “Cup Noodles” โดยนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาใส่ในถ้วยกระดาษพร้อมปรุงรส ทำให้ผู้บริโภคสามารถเติมน้ำร้อนแล้วรับประทานได้ทันที ถือเป็นการปฏิวัติวงการอาหารสะดวกซื้อ และทำให้แบรนด์ Nissin Foods ได้รับการจับตาจากทั่วโลกในที่สุด
ทั้งนี้ ในช่วงบั้นปลายชีวิต คุณ Ando ยังได้ฝากคติประจำใจเอาไว้มากมาย โดยหนึ่งในนั้นคือการบอกว่า “มนุษย์ไม่ควรหยุดทำงานจนกว่าจะเสียชีวิต” และมักจะใส่ใจสุขภาพ โดยเคล็ดลับการมีอายุยืนของเขาคือการออกกำลังกาย เล่นกอล์ฟ และทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นประจำ
กรณีของคุณ Ando จึงไม่เพียงสะท้อนว่า แท้จริงแล้ว มนุษย์มีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่เสมอ (เขาพัฒนาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้สำเร็จตอนอายุ 48 ปี และพัฒนา Cup Noodles ตอนอายุ 61 ปี) และในการเริ่มต้นใหม่นั้น มาจากการใส่ใจในปัญหาใกล้ตัว และอยากจะแก้ปัญหานั้นให้ได้ ( เนื่องจากเขาเห็นผู้คนอดอยากหลังสงคราม และเลือกแก้ปัญหาด้วยการพัฒนาอาหารที่ทำง่าย เก็บได้นาน และเข้าถึงได้สะดวก)
แนวคิดของเขาจึงไม่เพียงสร้างสินค้าเพื่อขาย แต่เป็นการหาทางออกให้กับสังคมที่กำลังเผชิญวิกฤต และผลงานของเขาไม่เพียงเปลี่ยนโลกของอาหาร แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการทั่วโลกว่าความสำเร็จนั้นไม่มีคำว่า “สายเกินไป” ได้เป็นอย่างดี
หมายเหตุ ปี 2006 นิตยสาร Times ได้ยกย่องให้คุณ Ando เป็นหนึ่งใน 66 ฮีโร่ชาวเอเชียด้วย




