HomeBrand Move !!ก้าวต่อไป “การเติบโตยั่งยืน” ต้องแก้ปัญหาวันนี้ ไม่เพิ่มปัญหาวันพรุ่งนี้ และสร้างต้นทุนที่ดีในวันต่อไป

ก้าวต่อไป “การเติบโตยั่งยืน” ต้องแก้ปัญหาวันนี้ ไม่เพิ่มปัญหาวันพรุ่งนี้ และสร้างต้นทุนที่ดีในวันต่อไป

เจาะแนวคิด Sustainomy ต้องมีความร่วมมือ 3 ระดับ

แชร์ :

 

BRAND BUFFET เว็บไซต์ข่าวสารการตลาดและธุรกิจออนไลน์ชั้นนำ ร่วมกับ SD Thailand จัดงานเสวนา ESGNIVERSE 2025 : Real – World of Sustainability จักรวาลแห่งความยั่งยืน เพื่อให้นักธุรกิจ นักการตลาด และผู้บริหารองค์กร ได้อัพเดทเทรนด์และความเคลื่อนไหวเรื่อง “ความยั่งยืน” ตามหลักของ ESG

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

พร้อมเป็นแนวทางนำไปปรับใช้ได้กับองค์กรตนเอง ผ่านเคสจริงจากวิทยากรชื่อดังหลากหลายวงการธุรกิจ ปีนี้มาภายใต้ธีม From Reports to Real Impact ที่ว่าด้วยการทำเรื่อง ESG ให้มากกว่าแค่เอกสารรายงาน แต่เป็นกลยุทธ์ที่เกิดผลจริง

หนึ่งในวิทยากรงานเสวนา ESGNIVERSE 2025 คุณปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แบรนดิ แอนด์ คอมพานีส์ จำกัด (BRANDi & Companies) ได้มองภาพในระดับกว้าง จากประสบการณ์ที่ได้เข้าร่วมประชุมในเวทีระดับโลกหลายครั้ง ตอกย้ำว่าเรื่องของความยั่งยืน เป็นเรื่องระดับชาติที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันของทั้งโลก ผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อเป็นก้าวต่อไปและสร้างการเติบโตให้ ESG

หลังจากโลกตื่นกระแสเรื่องความยั่งยืน แต่ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมายังถือเป็นเรื่องยากมากที่จะปลูกต้นที่ชื่อว่า “ความยั่งยืน” ถ้าระบบเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมไม่เอื้อ  เหมือนกับในอดีตที่เศรษฐกิจไม่ดี ก็ไม่มีใครทำอะไร แต่ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีก็มีคนรวยเช่นกัน  แต่ต้องออกแรงเยอะกว่าเพราะมีแรงต้านสูง

ดังนั้นทุกภาคส่วนทั้ง รัฐ เอกชน และประชาชน ต้องช่วยกันปรับและออกแบบระบบเศรษฐกิจ ที่จะทำให้ต้นไม้ที่ชื่อว่า People และ Planet เติบโตพร้อมกับ Profit เพื่อสร้างพลังขับเคลื่อน ESG จากนี้สิ่งที่เป็น  What’s Next for the Sustainable Growth จึงต้องพูดเรื่อง “จุดยืน” ในโลกที่มีผู้คนและสิ่งแวดล้อมอยู่ในสมการด้วย

 

 

เปิดโลกคู่ขนานสู่สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น

ช่วงต้นปีนี้ในงาน TIME100 Davos Dinner จัดโดยนิตยสาร TIME ร่วมกับ World Economic Forum  สิ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยคือ “โลกเราไม่เหมือนเดิม” ทำให้ วิธีคิด วิธีทำ วิธีพูด ต้องเปลี่ยนใหม่ ที่ผ่านมาจึงได้ยินการพูดถึง  Growth Mindset เพราะ Fixed Mindset ใช้กับสิ่งที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่ใช่โลกยุคนี้  ความยากของโลกที่เปลี่ยนไปที่กลายเป็น “โลกคู่ขนาน”

โลกใบที่หนึ่ง ปี 1800 – 2000 

– เป็นโลกที่คุยเรื่องเศรษฐกิจ โจทย์ในโลกใบนี้คือ เศรษฐกิจต้องเติบโต แต่คำถามสำคัญ คือ เศรษฐกิจเติบโตหรือไม่ เพราะเมื่อดูตัวเลขปี 2014 เทียบ 2024 ก็พบว่า “จีดีพี” เศรษฐกิจโลกไม่เติบโต ภาคเอกชนรายได้ลดลง เงินในกระเป๋าลดลง เกิดภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูงขึ้น ซึ่งภาพก็ชัดเจนว่า “เศรษฐกิจไม่โต ต้นทุนชีวิต (ธุรกิจ) สูงขึ้น” สิ่งเหล่านี้เป็นแรงฉุดทำให้เศรษฐกิจแย่

– ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจแย่หรือไม่ สิ่งสำคัญคือ “คน” หากเก่งและมีศักยภาพก็สามารถผ่านไปได้ แต่ความน่าสนใจของโลกใบนี้ คือ เศรษฐกิจทั่วโลกทุกวันนี้เติบโตมาจากแรงงานคนสัดส่วนเพียง 25%  (จากเดิมปี 2014 อยู่ที่ 45%) ที่เหลือเติบโตจากเทคโนโลยี ดังนั้นคนที่รวยขึ้นคือ “เจ้าของเทคโนโลยี”  

– เทคโนโลยีมี 2 แบบ  1. Technology Infrastructure ที่เติบโตไม่มาก 2. เทคโนโลยีรูปแบบ Total Factor Productivity คือส่วนที่ไปเพิ่มผลผลิต ปัจจุบันคือ AI ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างและช่องว่างจะห่างกันมากขึ้น

เมื่อวันหนึ่งคน (Human Labor) ไม่มีบทบาทในห่วงโซ่การผลิต หรือคนที่มีศักยภาพต่ำมีบทบาทน้อยลง สิ่งที่เกิดขึ้น คือคนไม่มีรายได้ ไม่มีเงินจับจ่าย เพราะไม่มีเหตุผลในการจ้างงาน

– เมื่อเศรษฐกิจไม่เติบโต คนไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่คนมีความต้องการบริโภคมากขึ้น (Overconsumption) ปัจจุบันการบริโภคของคน 8,000 ล้านคนทั่วโลก ใน 1 ปี ใช้สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก 1.75 เท่า ซึ่งมาจากการยืมโลกในอนาคตมาใช้ การยืมโลกอนาคตมาใช้ล่วงหน้า ทำให้คาดการณ์ว่าหลังจากปี 2030 โลกจะไม่มีน้ำสะอาดใช้  ปี 2050 อาหารมีความเสี่ยงขาดแคลน

โลกใบที่สอง ตั้งแต่ปี 2000 – ปัจจุบัน 

– โลกเข้าสู่ “สังคมและสิ่งแวดล้อมต้องดีขึ้น” จากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG 17 เรื่องของสหประชาติ คำถามสำคัญวันนี้ คือ “สังคมดีขึ้นหรือยัง”

– ในงาน Financing for Development ของ UN ซึ่งเป็นงานใหญ่ที่สุดในการระดมเงิน เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนา มีการจัดงานมาแล้ว 4 ครั้ง พบว่าเม็ดเงินที่ระดมในการช่วยประเทศกำลังพัฒนากับความต้องการเม็ดเงินจริง ยังไม่สมดุลกัน ประเทศที่เคยให้เงินช่วยเหลือและบริจาคเงินให้ประเทศขนาดกลางและเล็ก ให้เงิน “ลดลง”

– เชิงสังคม การเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกที่ยั่งยืน “มีต้นทุนที่ต้องจ่าย” แต่ใครจะเป็นคนจ่ายต้นทุนนั้น เมื่อมีคนจ่ายลดลง เรื่องยั่งยืนจึงช้ากว่าเป้าหมายในหลายเรื่อง

– เชิงสิ่งแวดล้อม ต้องมาดูว่าโลกดีขึ้นหรือยัง โดยผลจากการประชุม COP  เช่น ปี 1997 เกียวโต คุยเรื่องภาคอุตสาหกรรมต้องลดการปล่อยคาร์บอน, ปี 2015 ปารีส โลกต้องมีเป้าหมายร่วมกันในจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส, ปี 2022 Sharm EL-Sheikh โลกต้องมีเป้าหมายเชิงวิทยาศาสตร์,  ปี 2023 ดูไบ โลกเริ่มนับถอยหลังว่าโลกเหลืออะไรบ้าง พอใช้หรือไม่, ปี 2024 Baku คุยเรื่องการเงิน โดยยอมรับความจริงว่า “ไม่มีเงิน ไม่มีอนาคต”  เพราะการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เงิน แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือ การพยายามแก้ปัญหาโลกร้อนที่ผ่านมา แต่ผลลัพธ์ยิ่งแย่ลง จากการปล่อยคาร์บอนของโลกยังสูงขึ้นเรื่อยๆ

– มาถึงวันนี้ความพยายามในเวที COP อย่าง “ข้อตกลงปารีส” (Paris Agreement) ที่จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ต้องยอมรับกันว่าทำได้ยากมาก ตัวเลขที่เป็นไปได้ในวันนี้กรณีดีที่สุดแบบใช้ทุกสรรพกำลังร่วมกัน ตัวเลขจะอยู่ที่ 1.8 องศาเซลเซียส ขณะที่ตัวเลขที่ 2.2 องศาเซลเซียส คือยังคงยึดเรื่องความยั่งยืนเป็นความสำคัญอันดับแรก ส่วนเศรษฐกิจและสังคมรองลงมา  ส่วนตัวเลข 2.6 องศาเซลเซียส คือ บาลานซ์ เรื่องความยั่งยืน เศรษฐกิจ และสังคม

– ด้านความสามารถ วันนี้โลกมีความสามารถสร้างนวัตรรมใหม่น้อยมาก แต่กลับมีความต้องการใช้สูง สิ่งที่เห็นคือ เมื่อเศรษฐกิจโตไม่ได้ ภาครัฐใช้วิธีขึ้นภาษีเพื่อหารายได้แทน เพราะไม่มีนวัตกรรมใหม่มาทำให้เศรษฐกิจเติบโต

– ปี 1820 จีดีพีโลกอยู่ที่ 1.8 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ มาปี 2023  อยู่ที่ 105 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ แต่เป็นหนี้ 307 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ เห็นได้ว่าเมื่อลงทุนสูงแต่ผลผลิตต่ำ จึงทำให้มีแต่หนี้  งบประมาณแผ่นดินของหลายประเทศ เป็นการตั้งงบประมาณด้วยการเพิ่มเพดานหนี้จากการลงทุน ดังนั้นเศรษฐกิจยิ่งโต ยิ่งเป็นหนี้ และต้องมาแก้ปัญหาไม่จบสิ้น

–  ภาครัฐต้องการใช้เงินลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเติบโตแต่มีข้อกำจำกัดเรื่องงบประมาณ  ขณะที่เงินลงทุนจำนวนมากอยู่ที่เอกชน โดยเฉพาะประเทศไทย ที่เอกชนมีความมั่งคั่งมากกว่ารัฐ 4 เท่า  แต่ปัญหาคือเอกชนไม่ลงทุน  โดยเก็บเงินลงทุนไว้ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ

เศรษฐกิจโลกโตได้จากการเสี่ยง ไม่มีธุรกิจไหนที่เติบโตโดยปราศจากความเสี่ยง หากซื้ออะไรสักอย่างโดยไม่เสี่ยง นั่นคือผู้บริโภค ไม่ใช่นักธุรกิจ  

ภาครัฐและเอกชนต้องคิดว่าจะนำเงินมาทำให้เกิดการใช้จ่ายและพัฒนาได้อย่างไร  

เจาะแนวคิด Sustainomy สร้างการเติบโตยั่งยืน

ดังนั้น  What’s Next for the Sustainable Growth  คือ เราต้องการแก้ปัญหาในระดับเดียวกับที่ก่อปัญหาขึ้นมา หากไม่สามารถใช้โครงสร้างเศรษฐกิจปัจจุบัน สร้างโลกที่ยั่งยืนได้ จะไม่มีทางทำอะไรได้ เพราะปัญหาที่เกี่ยวกับความยั่งยืน เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องนำระบบเศรษฐกิจมาแก้ทั้งสิน

คุณปิยะชาติ กล่าวว่าจากประสบการณ์พบปะประชุมในระดับ Global Platform ใน 20 ประเทศ กว่า 30 เวทีสัมมนา พบว่าที่จริงแล้วเรื่องความยั่งยืน อาจไม่ซับซ้อนกว่าที่เราคิด

การสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน (Economy + Sustainability) ต้อง “รวมโลกเป็นหนึ่งเดียว” จับเศรษฐกิจที่เติบโตในภาคเอกชน มาผนวกกับสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ต้องสร้างความยั่งยืน โดยมีภาครัฐเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก  ต้องก้าวข้ามการเติบโตเศรษฐกิจแบบเก่า คือ แบบที่เศรษฐกิจดีขึ้นแต่คนและสิ่งแวดล้อมแย่ลง  เพื่อความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัวได้เมื่อได้รับผลกระทบ

จากเวทีประชุม Economist Impact เมื่อ 2 ปีก่อน มีแนวคิด Sustainomy โลกเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ จากการบริโภคโลกอนาคต เป็นการเติบโตแบบ Create the Future ต้องสร้างโลกอนาคตร่วมกันผ่านความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ดูแลทั้งประชาชนและผู้บริโภค เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน

หลักการ Sustainomy ต้องมีความร่วมมือ 3 ระดับ (Triple Layer Collaboration) 

1. Macro Transition คือ การใช้เงินช่วยประเทศกำลังพัฒนาต้องเข้าถึงง่ายและถูกนำมาใช้ในการพัฒนาจริง

2. Market Adoption ธุรกิจที่ดีหาทุนง่าย ต้นทุนต่ำ มีกำไร  ธุรกิจปัจจุบันเป็นตลาดของการจับคู่ (Matching)  คือ การลงทุนทำสิ่งที่ชอบและหาคนพร้อมจ่ายเงินเพื่อสิ่งนั้นให้เจอ วันนี้ธุรกิจที่ดีต้องหาทุนได้ ทำต้นทุนให้ต่ำ และทำกำไรได้  ต้องทำให้สังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นพรีเมียม เพื่อหาคนพร้อมจ่ายเงิน

3. Micro Transformation องค์กรพร้อมสำหรับทุกโอกาส ในอดีตการตั้งบริษัทหรือธุรกิจ คือสิ่งที่เราจะทำ แต่วันนี้สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญไม่ใช่ธุรกิจที่เราทำ แต่เป็นการสร้างศักยภาพในองค์กรให้พร้อมทำธุรกิจอะไรก็ได้ มากกว่าเดิมที่ทำอยู่ ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของทุกองค์กรต้องปรับตัว เพื่อโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ๆ และหารายได้

ธุรกิจไทยหลายธุรกิจ พยายามหาธุรกิจใหม่เพิ่มจากเดิมที่ทำอยู่ เพื่อลดการพึ่งพาธุรกิจเดียว แต่ก็หาไม่เจอหรือลงทุนแล้วไม่สำเร็จ เพราะไม่ง่าย

แต่หากต้องการสร้างการเติบโตยั่งยืนวันนี้ไม่ต้องคุยแล้วว่ายากหรือง่าย แต่ต้องคุยว่าจะทำอย่างไรจึงสำเร็จ ไม่เช่นนั้น Mindset จะไปอยู่ที่เงื่อนไข ไม่ใช่เป้าหมาย โดยต้องใช้ความสนใจทั้งหมดไปอยู่ที่ “เป้าหมาย” เชื่อว่าไม่ว่าเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร ปีนี้จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ดีในการที่ประเทศไทยจะเติบโตไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน

“เมื่อเราพูดถึง What’s Next การเติบโตที่ยังยืน เรากำลังพูดถึงความพยายามในการแก้ปัญหาของวันนี้ โดยไม่เพิ่มปัญหาในวันพรุ่งนี้ และสร้างต้นทุนที่ดีสำหรับวันต่อไป นั่นแปลว่าเราต้องเหนื่อยมากขึ้น”

วันนี้โจทย์ยากกลายเป็นการเริ่มต้นทำธุรกิจและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีบทบาทในเวทีโลก

 

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE


แชร์ :

You may also like