HomeBrand Move !!แกะสูตร (ไม่) ลับ “HAAB” ปั้นยอดขายยังไงให้โต 2 หลัก ท่ามกลางเศรษฐกิจซบ และปี 2569 จะทำให้ได้พันล้าน

แกะสูตร (ไม่) ลับ “HAAB” ปั้นยอดขายยังไงให้โต 2 หลัก ท่ามกลางเศรษฐกิจซบ และปี 2569 จะทำให้ได้พันล้าน

แชร์ :


ผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ผ่านมา 6 เดือนแรกของปี ธุรกิจร้านอาหารตกอยู่ในสถานการณ์ “สาหัส” ไม่เว้นแม้แต่บิ๊กแบรนด์ยังบ่นเหนื่อย เพราะกำลังซื้อผู้บริโภคหดหาย จนยอดขาย และกำไรหด ในขณะที่ต้นทุนธุรกิจกลับพุ่งไม่หยุด แต่ขนมไข่เตาถ่านแบรนด์ “HAAB” (หาบ) กลับเติบโตสวนตลาด และยังตั้งเป้าปี 2569 ยอดขายบริษัทจะแตะ 1,000 ล้านบาท

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

HAAB ทำได้อย่างไร? โครงการโต๊ะกลม “บรรทัดทอง-สามย่าน” จัดโดย จุฬาฯ ร่วมกับ สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาฯ (PMCU) “คุณจูเนียร์-ทัพไทย ฤทธาพรม” Co-Founder ของแบรนด์ HAAB ได้แบ่งปันกลยุทธ์ พร้อมแนะผู้ประกอบการปรับตัวเพื่อสร้างความอยู่รอดท่ามกลางเศรษฐกิจแบบนี้

“เน้น Premium Mass – สร้างแบรนด์แกร่ง” สูตรปั้น HAAB โต 2 หลัก

HAAB เป็นแบรนด์ขนมไข่ที่เริ่มต้นจากร้านเล็กๆ มาเพียง 2 ปีบนถนนบรรทัดทอง แต่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว จนล่าสุดขยายสาขาแล้วกว่า 16 สาขา มีพนักงานรวม 400 คน ทั้งยังเปิดแบรนด์ใหม่อีก 3 แบรนด์คือ Layers Cake ร้านเค้กคัพ, HaRoy ไก่ทอดหาดใหญ่ และ YogurBara โยเกิร์ตพรีเมียมจากเกาหลี ซึ่งคุณทัพไทย ยอมรับว่า “เกินฝัน” จากที่คาดเอาไว้ เพราะวันแรกที่คิดทำธุรกิจไม่ได้อยากให้ธุรกิจใหญ่ขนาดนี้

คุณจูเนียร์-ทัพไทย ฤทธาพรม” Co-Founder ของแบรนด์ HAAB

พร้อมกับบอกว่า ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจแย่ลง ทำให้สินค้าแมสอาจจะขายได้น้อยลง ขณะที่กลุ่มลูกค้าต่างชาติก็ลดลง แต่ภาพรวมของ HAAB ยังโดนผลกระทบไม่มาก สะท้อนได้จากยอดขายครึ่งปีแรกยังคงเติบโต สาเหตุหลักเป็นเพราะ HAAB ไม่ได้เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว แต่โฟกัสกลุ่มลูกค้าออฟฟิศ คนทำงาน และกลุ่มที่มีกำลังซื้อ บวกกับการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง มีภาพจำที่ดี และควบคุมคุณภาพสินค้าให้ดีต่อเนื่อง จึงทำให้แบรนด์สามารถยืนระยะได้มาถึงทุกวันนี้ และมองว่าปีนี้น่าจะเติบโตได้ 2 เท่าจากปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณ 450 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาทในปีหน้าแน่นอน

“ธุรกิจร้านอาหารปีนี้ สำหรับผมทำไม่ยาก เพราะถ้าตลาดไหนไม่ดี เราก็พลิกแพลงไปหาตลาดใหม่ แต่เราอาจจะโชคดีที่ทุกแบรนด์ในบริษัทจับกลุ่ม Premium Mass ซึ่งตอนนี้ตลาดกลุ่มนี้อาจจะยังไม่โดนผลกระทบขนาดนั้น อย่างโยเกิร์ต เป็นเหมือนของฝากให้คนทำงาน ส่วน HaRoy เหมาะสำหรับซื้อไปกินในออฟฟิศ” คุณทัพไทย บอกถึงความท้าทายในการทำธุรกิจอาหารปีนี้

ลุยต่างประเทศ ดันยอดขายสู่พันล้าน

แม้จะมั่นใจว่าสามารถทำยอดขายแตะ 1,000 ล้านบาทได้ในปีหน้า แต่คุณทัพไทย บอกว่า ในใจลึกๆ ส่วนหนึ่งมี “ความกลัว” เล็กๆ เหมือนกัน เพราะถ้าสิ่งที่ลงทุนไป ไม่ได้งอกเงยเป็นผลกำไรกลับมา ก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงได้เช่นกัน สำหรับกลยุทธ์ที่จะพา HAAB ก้าวสู่ยอดขายพันล้าน คุณทัพไทย บอกว่า จะเน้นบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยตอนนี้เริ่มส่ง HAAB เข้าไปบุกในมาเลเซียแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมาก ปัจจุบันมี 4 สาขา ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 10 สาขา รวมถึงนำไก่ทอด HaRoy เข้าไปบุกตลาดเพิ่ม ตอนนี้อยู่ระหว่างการคุย คาดว่าจะขยายให้ได้ 160 สาขาภายใน 2574 ผ่าน Licensing Model ขณะเดียวกัน ยังเริ่มไปออกบูธที่อินโดนีเซีย และมีหลายคนติดต่อเข้ามาเพื่อนำแบรนด์ไปเปิด คาดได้เห็นปี 2569

ภาพจาก Haroy.bkk

“พฤติกรรมคนมาเลย์กินไก่หนักมาก แล้วชอบแบรนด์ไทย ซึ่ง HaRoy เป็นแบรนด์ไก่ทอดสูตรไทยที่ไม่เหมือนใคร ถึงจะเปิดตัวมาไม่นาน แต่แบรนด์เราค่อนข้างแข็งแรง บวกกับรสชาติ Authentic จึงถูกใจคนมาเลย์”

ส่วนในไทย คุณทัพไทย บอกว่า ครึ่งปีหลัง HAAB คงไม่ขยายสาขาเพิ่ม เพราะการบริหาร 4 แบรนด์ ยากขึ้น แต่อาจจะเป็นการเปิดแบรนด์ใหม่หรือขยับมาเป็น Supplier วัตถุดิบอาหารแทน เพราะปัจจุบันบริษัทซัพพลายวัตถุดิบค่อนข้างเยอะ ทำให้มี Know How มากขึ้น ทั้งยังจะช่วยให้บริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น

“เราไม่ได้กำหนดว่าต้องมีกี่แบรนด์ เป็นคนทำธุรกิจตามจังหวะเศรษฐกิจและโอกาส ถ้าโอกาสเข้ามา ผมทำเร็วอยู่แล้ว สำหรับการเป็น Supplier 6 เดือนก็สามารถทำได้แล้ว อยู่ที่ว่ามีโอกาสมาหรือเปล่า และคิดทันหรือเปล่า เพราะถ้าเราเปิดแบรนด์ใหม่ อาจจะไม่ขยับมาเส้นทาง Supplier เพราะคนอาจไม่พอ”

แนะผู้ประกอบการ “ปรับตัว” สู่ตลาดออนไลน์

ส่วนสถานการณ์ร้านอาหารในย่านบรรทัดทองที่ได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาลดลง โดยเฉพาะชาวจีน จนกระทบให้รายได้ทรุดฮวบ คุณทัพไทย แนะว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการควรทำคือ การปรับตัว และวิธีที่ง่ายสุดคือ การทำตลาดออนไลน์ เพราะถ้าร้านไหนไม่เคยมีออนไลน์ อาจจะมีกลุ่มลูกค้าบางกลุ่มเข้ามาเพราะปากต่อปาก แต่ถ้าฐานลูกค้าเดิมหรือลูกค้าชาวต่างชาติน้อยลง อาจจะต้องเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าใหม่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้การตลาดออนไลน์มาดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้าน

นั่นเพราะผู้บริโภคยุคนี้ไม่ว่าเจนเนอเรชั่นไหนใช้ชีวิตอยู่บนโลกออนไลน์ บางกลุ่มอาจอยู่บน Facebook บางกลุ่มเล่น TikTok เป็นหลัก ขณะที่บางกลุ่มใช้ Instagram และ Google Maps ถ้าสามารถทำได้หลายช่องทางจะช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น ส่วนการจะนำแพลตฟอร์ตไหนมาใช้นั้น คุณทัพไทย บอกว่า ขึ้นอยู่กับทรัพยากรและความถนัดของร้าน เพราะแต่ละแพลตฟอร์มมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

ถ้าเป็น Google Maps จะเป็นเหมือนเป็นป้ายหน้าร้านออนไลน์ ข้อดีคือ ลงทุนไม่มาก แต่ช่วยยืนระยะให้แบรนด์ได้ แม้จะหยุดทำรีวิวไปบ้าง แต่ Google Maps ยังคงทำงานอยู่ ทำให้คนยังเสิร์ชเจอ แต่ข้อจำกัดคือ อาจจะช่วยไดร์ฟยอดขายให้เติบโตไม่มาก ส่วนแพลตฟอร์ม TikTok ข้อดีคือ ทำให้เกิดดีมานด์ได้ จึงดึงคนให้เข้ามาดูได้เร็ว และถ้าคอนเทนต์ดีจนเป็นไวรัล ก็ทำให้คนอยากมาชิม แต่ก็มีข้อเสียอยู่ที่ ไม่ได้ยืนระยะให้แบรนด์ ถ้าคอนเทนต์หาย แบรนด์ก็หายไปด้วย

 

แต่สิ่งที่เหมือนกันและเป็นจุดที่ร้านค้าควรระวัง คือ การ Build Trust ของลูกค้า ต้องทำด้วยความจริงใจ และไม่บังคับ เพราะแทนที่จะทำให้ร้านน่าเชื่อถือ อาจจะส่งผลเสียต่อแบรนด์ได้

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE


แชร์ :

You may also like