ในโลกปัจจุบันที่ความหลากหลายทางเพศ วัฒนธรรม และรูปแบบการใช้ชีวิตได้รับการยอมรับมากขึ้น อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจึงต้องปรับตัวให้ทันกับความต้องการของนักเดินทางที่มีพื้นเพแตกต่างกัน ความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเท่าเทียมและเป็นมิตรต่อทุกคนกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเลือกจุดหมายปลายทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยหนึ่งในประเทศที่ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” ได้ผ่านการเห็นชอบ นั่นทำให้ความคาดหวังต่อการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยยิ่งเพิ่มสูงขึึ้นในประเทศเรื่องความหลายหลายทางเพศ
สอดคล้องกับการสำรวจของ Booking.com พบว่า ผู้เดินทาง LGBTQ+ ชาวไทยรู้สึกถึงความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดย 83% ระบุว่าการต้อนรับและการมอบบริการอันเป็นมิตรที่เพิ่มขึ้นจากการร่วมมือของแวดวงการเดินทางทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจมากขึ้นขณะออกเดินทาง นั่นทำให้ Booking.com บริษัทด้านเทคโนโลยีการท่องเที่ยว เล็งเห็นความสำคัญของการเร่งทำความเข้าใจ ให้ผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมนี้ สามารถรองรับกลุ่มลูกค้า LGBTQ+ ได้อย่างดีขึ้น เพื่อเป็นหนึ่งในจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย
ดังนั้น Booking.com จึงเร่งผลักดันโครงการ Travel Proud ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 2564 และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีในหลายประเทศ ให้เติบโตยิ่งขึ้นในประเทศไทย ในการจัดการอบรมด้านการบริการให้สถานที่ท่องเที่ยวไปจนถึงบุคลากรด้านการท่องเที่ยว ตระหนักถึงคุณค่าของความเท่าเทียมสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ รวมไปถึงวิธีในการสร้างความรู้สึกต้อนรับและเป็นมิตรให้กับผู้เข้าพักทุกคน โดยไม่สำคัญว่าผู้เดินทางจะมาจากไหน จะรักใคร หรือมีตัวตนแบบใด โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ข้อมูลล่าสุดพบว่า มีที่พักกว่า 99,000 แห่งทั่วโลกที่ได้รับการรับรอง “Proud Certified” และในประเทศไทยมีมากกว่า 1,800 แห่ง เข้าร่วมโครงการนี้
คุณออลลี่ แอนเซลล์ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์การตลาดเชิงพาณิชย์ประจำภูมิภาคเอเชียของ Accor ได้บอกเล่าเสียงสะท้อนจากคนที่ทำงานในธุรกิจนี้ กล่าวว่า “อุตสาหกรรมการบริการต้องเริ่มต้นจากการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้าใจในความหลากหลาย การมีส่วนร่วม และความเท่าเทียม (Diversity, Equity, Inclusion – DEI) ซึ่งจะสะท้อนออกไปยังประสบการณ์ของลูกค้าโดยตรง Accor เองได้นำแนวทาง DEI มาสร้างเป็นนโยบายการฝึกอบรมพนักงาน และการออกแบบบริการที่ไม่แบ่งแยกผู้ใช้บริการ”
ขณะที่ คุณพอร์ช-อภิวัฒน์ อภิวัฒน์เสรี และคุณอาม -สัพพัญญู ปนาทกูล อภิวัฒน์เสรี คู่แต่งงาน LGBTQ+ ผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์และผู้เดินทาง ผู้เข้าร่วมโครงการ “Amazing Thailand: LGBTQ+ Friendly Honeymoon Destination with PorschArm” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ททท. กับ Booking.com เพื่อใช้สื่อออนไลน์ถ่ายทอดประสบการณ์จริงผ่านการเดินทางฮันนีมูนทั่วประเทศ นำเอาประสบการณ์จริงของการท่องเที่ยวมาบอกเล่าอย่างน่ารักและเห็นภาพ ว่า “การพักในโรงแรมที่มีข้อมูลชัดเจนว่าเปิดรับความหลากหลายทางเพศ ก็คงเหมือนกับการที่เราเดินเข้าร้านตัดผม ถ้าหากว่าเราเดินเข้าร้านที่เราคุ้นเคย เราก็มีความสบายใจมากกว่า สถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหารที่เราสามารถเป็นตัวตนของเราได้ในแบบที่เราเป็น ก็ทำให้เรารู้สึกสบายใจมากขึ้นที่จะเป็นตัวเราในแบบที่เราเห็น เราไม่ได้ต้องการการบริการที่เหนือกว่า หรือแตกต่างอะไร แต่อย่าปฏิบัติตัวอย่างแปลกแยกก็พอแล้ว”
คุณมิเชล เกา ผู้จัดการภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและจีนของ Booking.com ตอกย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยว่า “การสร้างความเข้าใจและฝึกอบรมผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้ผู้เดินทางรู้สึกมั่นใจว่าได้รับการต้อนรับและเคารพในตัวตน”
จากเดิมที่ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และบริการที่เป็นเลิศอยู่แล้ว แต่ในยุคที่การเดินทางไม่ใช่เพียงเรื่องของความสวยงามเท่านั้น หากยังเป็นเรื่องของ “ความรู้สึกปลอดภัยและได้รับการยอมรับ” ประเทศไทยจึงต้องปรับตัวเพื่อเป็นจุดหมายที่ให้การต้อนรับอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยว LGBTQ+ ซึ่งมีสัดส่วนเติบโตขึ้นทั่วโลก รวมทั้งมีแนวโน้มการจับจ่ายมากกว่าผู้บริโภคทั่วไป จากผลสำรวจของ Booking ระบุว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีแนวโน้มเลือกสถานที่ท่องเที่ยวระดับ Luxury สูงกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นโอกาสและช่องว่างอีกมากในการพัฒนาเป็นจุดหมายปลายทางที่ “Inclusive” เปิดรับความแตกต่างหลากหลาย จนประเทศไทยสามารถเป็นจุดหมายปลายทางที่ “เป็นของทุกคน” ได้อย่างแท้จริง