ถึงแม้ว่านวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาสายตาจะพัฒนาไปไกลแค่ไหน แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ยังคงนิยมใส่แว่นตากันมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะดีไซน์แว่นมีความทันสมัยเพิ่มขึ้น จึงช่วยอัปลุค และสะท้อนตัวตนของผู้สวมใส่เป็นอย่างดี ทำให้ธุรกิจร้าน “แว่นตา” ไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีมูลค่า 13,000 ล้านบาท และเติบโตเฉลี่ยปีละ 5-10% จนมีร้านแว่นเชนต่างๆ รวมถึงร้านแว่นร้านเดี่ยวๆ เปิดสาขาตามแหล่งชุมชน และในศูนย์การค้ากันอย่างคึกคัก
แต่ร้านแว่นตาที่มีอายุกว่า 77 ปีอย่าง “แว่นท็อปเจริญ” (Top Charoen) ยังคงเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภคและกินส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในตอนนี้ ด้วยแชร์ 41% ทั้งยังมีเป้าหมายที่จะขยับตัวเองไปสู่ “Asian Brand”ภายใน 5 ปีนับจากนี้ อะไรทำให้แว่นท็อปเจริญสร้างการเติบโตในสนามแข่งขันอันดุเดือดจนถึงทุกวันนี้ ตามมาดูกัน
คุณภาพ-บริการ วิธีสร้างแบรนด์แบบ “แว่นท็อปเจริญ”
ต้องบอกว่า ตลาดแว่นตาเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงไม่แพ้ธุรกิจร้านกาแฟ โดยเราจะเห็นร้านแว่นตามากมายทั้งเชนร้านแว่นใหญ่ และร้านของผู้ประกอบการอิสระตั้งอยู่ในแทบจะทุกพื้นที่ทั้งในศูนย์การค้า แหล่งชุมชน และโรงพยาบาล โดย “คุณนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ร่วมเจริญพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ร้านแว่นท็อปเจริญ บอกว่า ปัจจุบันร้านแว่นตาในไทยมีไม่ต่ำกว่า 30,000 ร้าน ดังนั้น การจะอยู่รอดและเติบโตในตลาดนี้ได้ ต้องมีกลยุทธ์ที่เจ๋งพอตัว
แล้วกลยุทธ์อะไรทำให้แว่นท็อปเจริญถึงเป็นแบรนด์ร้านแว่นตาที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด ทั้งยังมีสาขาทั้งหมดกว่า 2,130 สาขาทั่วประเทศ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีอายุ 77 ปีแล้ว
คุณนพศักดิ์ บอกว่า ความสำเร็จของแว่นท็อปเจริญที่อยู่ในตลาดมาได้ยาวนาน เกิดจากคุณภาพของสินค้า เพราะถึงดีไซน์จะทันสมัย แต่ถ้าสวมใส่แล้วไม่แก้ปัญหาสายตาให้กับลูกค้า แบรนด์ก็เติบโตต่อได้ยาก แว่นท็อปเจริญจึงให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีการตรวจวัดสายตาล้ำสมัยมาใช้ รวมทั้งผลิตผู้เชี่ยวชาญด้านสายตามาตลอด ซึ่งทุกคนจะผ่านการฝึกอบรมโดยทัศนมาตรและจักษุแพทย์ อีกทั้งล่าสุดยังร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จัดตั้งวิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์@ท็อปเจริญ เพื่อผลิตนักทัศนมาตรหรือสายตาที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสายตาและระบบการมองเห็นป้อนตลาด
อีกทั้งแว่นท็อปเจริญยังเน้น การให้บริการ ลูกค้าอย่างเข้าอกเข้าใจให้ลูกค้า และถึงจะไม่ซื้อแว่นตากับทางร้าน แต่เมื่อเข้ามาปรึกษา ก็ต้องให้บริการดีที่สุดด้วย โดยจะมีบริการใส่น็อต เปลี่ยนแป้นจมูก และจัดแต่งทรงให้ฟรี ซึ่งการทำแบบนี้ทำให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ดี และช่วยให้แบรนด์เป็นที่จดจำและพูดถึงในระยะยาว
เมื่อรวม 2 ปัจจัยนี้เข้าด้วยกัน บวกกับเน้นการวาง Positioning จับกลุ่มลูกค้าแมสไปจนถึงกลุ่มพรีเมี่ยม ส่งผลให้แว่นท็อปเจริญเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อคิดจะตัดแว่นตา หรือเปลี่ยนแว่นใหม่ ก็จะกลับมาใช้บริการเป็นประจำ โดยการเปลี่ยนแว่นของผู้บริโภค 1 คน คุณนพศักดิ์ บอกว่า จะเฉลี่ยอยู่ที่ 1 ปี – 1 ปีครึ่ง
แม้เศรษฐกิจซบ ตลาดแว่นตากลมๆ ยังโตได้
แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมในปีนี้จะซบเซา แต่คุณนพศักดิ์ บอกว่า ตลาดแว่นตายังคงมีการเติบโตประมาณ 5-10% และเชื่อว่า ปี 2568 ตลาดแว่นตายังเติบโตต่อเนื่องในระดับ 5-10% เช่นกัน เหตุเพราะประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ซึ่งผู้สูงวัยมักมีปัญหาเรื่องสายตายาว แว่นตาจึงเป็นสิ่งจำเป็นของผู้สูงวัย ประกอบกับเด็กรุ่นใหม่เติบโตมากับเทคโนโลยีดิจิทัล จึงจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ และมือถือเกือบตลอดทั้งวัน ส่งผลให้เด็กๆ มีปัญหาสายตาสั้นมากขึ้น โดยพบว่าเด็ก 10 คน สายตาสั้นถึง 7 คน
สำหรับแว่นท็อปเจริญ ในปี 2566 มีรายได้รวม 5,784 ล้านบาท ส่วนปัจจุบันมีรายได้รวม 6,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 5% และในปี 2568 มีแผนจะขยายสาขาเพิ่มขึ้น ทั้งในรูปแบบร้านขนาดเล็กในศูนย์การค้า แหล่งชุมชม และ Flagship Store ขนาดใหญ่ เพื่อให้บริการด้านสายตาแบบครบวงจร ทั้งยังสามารถเลือกแว่นตาได้หลากหลายกว่า 10,000 อัน จากร้านปกติที่มีแว่นให้เลือกไม่เกิน 1,000 อัน ซึ่งปัจจุบัน Flagship Store มี 60 แห่ง
พร้อมทั้งมีแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงขยายสาขาในประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะที่ผ่านมาแว่นท็อปเจริญมีฐานลูกค้าจากประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะกัมพูชา และสปป.ลาว เข้ามาใช้บริการในหลายจังหวัด จึงเห็นโอกาสในการทำตลาด เบื้องต้นได้จดทะเบียนบริษัทที่ประเทศกัมพูชาแล้ว โดยจะเปิดสาขาบุกตลาดในปีหน้า และตั้งเป้าจะเปิดสาขาทั่วอาเซียน เพราะเป้าหมายต่อไปของคุณนพศักดิ์ต้องการให้ท็อปเจริญเป็นร้านแว่นที่คนอาเซียนรู้จักไม่เกิน 5 นับจากปีนี้
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE