ถ้าพูดถึงตลาดไอทีประเทศไทยในปี 2566 ต้องบอกว่าเป็นปีที่หนักหน่วงทีเดียว เพราะต้องพบเจอกับโจทย์ท้าทายรอบด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวฉุดกำลังซื้อ และการเบิกจ่ายของภาครัฐที่ล่าช้า ส่งผลให้ตลาดประสบสภาวะไม่เติบโต จากข้อมูลบริษัทวิจัยจีเอฟเค ระบุว่า ในปีที่ผ่านมาตลาดไอทีมีมูลค่า 28,618 ล้านบาท ติดลบถึง 15% ในเชิงมูลค่า และเมื่อมาดูที่ตลาดพรินเตอร์จะพบว่า มีมูลค่า 2,720 ล้านบาท ลดลง 4% ในเชิงมูลค่า แต่ “บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด” กลับเติบโตอย่างสนใจ
ท่ามกลางสารพัดความท้าทายที่ต้องเจอ เอปสันทำได้อย่างไร? มาถอดกลยุทธ์ที่เอปสันใช้ขับเคลื่อนตลอดปี 2566 พร้อมกับเจาะลึกยุทธศาสตร์การตลาดที่เอปสันตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 8% ในปี 2567 ไปพร้อมกัน
เครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่ – สแกนเนอร์ พระเอกปี 2566
ถึงแม้ปี 2566 จะเป็นปีสุดท้าทายสำหรับวงการไอที แต่ถือเป็นปีที่ดีสำหรับเอปสันปีหนึ่ง เพราะสามารถทำยอดขายทั้งปีเติบโตถึง 8% จากปีก่อน โดยสินค้าที่ทำยอดขายหลักยังมาจากเครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา และสแกนเนอร์ เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 37% ตามด้วยเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กร เติบโต 30% โปรเจคเตอร์ เติบโต 20% และเครื่องพิมพ์มินิแล็บ เติบโต 10%
เมื่อมาดูส่วนแบ่งการตลาด ปัจจุบันเอปสันยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท ด้วยส่วนแบ่งตลาดอิงค์เจ็ท 55% ดอทแมททริกซ์ 90% โปรเจคเตอร์ 55% เครื่องพิมพ์ภาพ 58% เครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา 37% และ Desktop POS 29%
กลยุทธ์พา “เอปสัน” โตสวนตลาด
สำหรับยอดขายที่เติบโตสวนตลาด คุณยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายว่า มาจากการ “ปรับตัว” และ “การทรานส์ฟอร์มธุรกิจ” ด้วยการหันไปโฟกัสตลาด B2B มากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพราะเห็นโอกาสการเติบโตจากความต้องการของภาคธุรกิจในการนำเอาไอทีไปเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน จึงทำให้ได้ธุรกิจรับผลกระทบไม่มากจากความผันผวนของตลาด B2C
ควบคู่ไปกับการสร้าง New S-Curve และบริการใหม่ๆ ที่ตอบความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลลูกค้าพึงพอใจและทำให้เอปสันมีฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสินค้ากลุ่มเดิม
ตลาดไอทีปี 67 ไม่แย่ ตั้งเป้าพาเอปสันโต 8%
สำหรับในปี 2567 คุณยรรยง มองว่า เป็นปีที่มีทั้ง “ความเสี่ยง” และ “โอกาส” ความเสี่ยงคือ หนี้ครัวเรือนและหนี้คงค้างยังพุ่งสูง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการจับจ่ายของผู้บริโภค และทำให้ตลาด B2C อาจจะไม่เติบโตไม่มาก รวมไปถึงผลกระทบด้านการเมืองและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค อาจมีผลต่อซัพพลายเชน ส่วนโอกาสคือ การท่องเที่ยวที่ดีขึ้น และงบประมาณภาครัฐที่เบิกจ่ายได้ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น
“ตลาดไอทีปีนี้ไม่น่าแย่ไปกว่าปีที่แล้ว เพราะมองว่าการเร่งการลงทุนของภาครัฐจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวและส่งเสริมให้ตลาดไอทีกลับมาในไตรมาสที่ 2 3 และ 4”
คุณยรรยง บอกถึงสถานการณ์ตลาดไอทีปีนี้ และนั่นทำให้เอปสันตั้งเป้าเติบโตในปี 2567 ไม่ต่ำกว่า 8% โดยกลยุทธ์สำคัญที่จะสร้างการเติบโตให้เอปสัน หลักๆ มาจาก 5 ส่วน ดังนี้
1.รุกตลาด B2B ต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดที่ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด อีกทั้งความต้องการใช้ไอทีของกลุ่ม B2B ยังมีต่อเนื่อง ซึ่งการทำตลาดกับลูกค้ากลุ่มนี้จะแตกต่างจากกลุ่ม B2C โดยนำสินค้าออกไปให้ลูกค้าได้ลองใช้เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ปัจจุบันเอปสันมีสัดส่วนรายได้จาก B2B ประมาณ 40% และตั้งเป้าใน 3 ปีจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ให้เกินครึ่ง
2.สร้าง S-curve ใหม่ วิธีนี้จะช่วยให้เอปสันมีโอกาสเติบโตก้าวหน้าด้านรายได้ในระยะยาว และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง โดยล่าสุดบริษัทฯ เปิดตัวเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทขาวดำที่ใช้หัวพิมพ์ Heat-Free Technology ทั้งในกลุ่ม EcoTank และ WorkForce อย่างละ 2 รุ่น เพื่อมาแข่งขันกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ขาวดำโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันยังมีกลุ่มผู้ใช้ที่เน้นพิมพ์เอกสารขาวดำอยู่ เช่น สำนักงานบริษัท สถาบันศึกษา โรงพยาบาล เป็นต้น โดยจะเป็นกลุ่มที่ต้องการเครื่องพิมพ์ที่ให้ต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นต่ำ ความเร็วระดับปานกลาง แต่สามารถรองรับงานปริมาณมากได้
3.Sales Model การพัฒนารูปแบบการขายที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการได้ตามต้องการ ทั้งการซื้อขาดหรือบริการแบบ Subscription อย่าง EasyCare ซึ่งลูกค้าสามารถควบคุมต้นทุนการพิมพ์ของตัวเองได้ ไม่ต้องสต๊อกหมึก โดยเอปสันจะส่งหมึกให้โดยคำนวณค่าใช้จ่ายจากจำนวนพิมพ์รายแผ่น เป็นต้น
4.Service excellence การให้ความสำคัญกับการบริการทั้งก่อนและหลังการขาย โดยมีการพัฒนาทีม Pre-sales สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการทำโซลูชันที่เหมาะกับองค์กรธุรกิจของลูกค้า รวมถึงพัฒนาช่องทางดิจิทัลเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ง่ายดาย ทั้งยังเพิ่มจำนวนศูนย์บริการ จนปัจจุบันมีอยู่ 182 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมี 140 แห่งที่สามารถให้บริการ onsite ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
5.Sustainable Value หรือคุณค่าด้านความยั่งยืน ซึ่งถือเป็น DNA ของไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ที่ดำเนินธุรกิจบนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมระยะยาว “Environmental Vision 2050” อย่างจริงจัง ซึ่งในปี 2566 บริษัทฯ สามารถเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนแบบ 100% ด้วยการจัดหาพลังงานหมุนเวียนมารองรับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ทุกโรงงานและสำนักงานของเอปสันทั่วโลกใช้ราว 876 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ทำให้คาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงได้ราว 4 แสนตันในแต่ละปี
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE