
คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์ของเมเจอร์ฯ ได้เปลี่ยนสถานะจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Developer) สู่การเป็นผู้พัฒนารูปแบบการใช้ชีวิต (LifeScape Developer) อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในทุกด้าน
หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย อสังหาฯ เริ่มกลับมาฟื้นตัวชัดเจน ในปี 2566 เมเจอร์ฯ เตรียมเดินหน้าแผนธุรกิจ “LifeScape at a New Height” ผลักดันความแข็งแกร่ง เพื่อการเติบโตอีกขั้นด้วย 3 กลยุทธ์หลัก
1. Solidify Residential-Scape ชูความแข็งแกร่งให้กลุ่มธุรกิจหลักที่อยู่อาศัย ด้วยเป้าหมาย All Time High เปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 24 ปีนับจากก่อตั้งบริษัท รวม 7 โครงการ มูลค่ากว่า 14,700 ล้านบาท
คอนโดมิเนียม Super Luxury High-rise 2 โครงการ มูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท
บ้านจัดสรร 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,900 ล้านบาท
โครงการใหม่ในปีนี้ ได้เปิดตัว 5 แบรนด์ใหม่ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น
– Marquis (มาร์ควิส) คอนโด ซูเปอร์ ลักชัวรี มีฟังก์ชันตอบโจทย์ด้านการมีชีวิตที่ดี (Wellness) ปีนี้เปิดทำเล พญาไท มูลค่าโครงการ 5,500 ล้านบาท ราคา 265,000 บาทต่อตารางเมตร
ส่วนอีกคอนโดที่เปิดตัวในปีนี้ เป็นแบรนด์เดิม คือ MUNIQ ทำเล พร้อมพงษ์ มูลค่าโครงการ 3,300 ล้านบาท ราคา 310,000 บาทต่อตารางเมตร
– Mayfield (เมย์ฟิลด์) พรีเมียมทาวน์โฮมระดับไฮเอนด์ ปีนี้เปิด 2 ทำเล คือ ปิ่นเกล้า มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ราคา 13-16 ล้านบาท และทำเลรามอินทรา-คู้บอน มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท ราคา 12-15 ล้านบาท
– Mayfield Lane (เมย์ฟิลด์ เลน) บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี ทำเลใจกลางเมือง ปีนี้เปิดทำเลรัชดาฯ-ลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท ราคา 34-41 ล้านบาท
– Milford (มิลฟอร์ด) ทาวน์โฮมไฮเอนด์ ปีนี้เปิด ปิ่นเกล้าและรามคำแหง มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ราคา 14-17 ล้านบาท
– อีกแบรนด์ใหม่ที่ยังไม่สรุปชื่อ โดยอยู่ในกลุ่ม Super Luxury Limited Edition บ้านหรู ทำเลแรก พัฒนาการ มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท ราคา 65-100 ล้านบาท
ทั้งนี้ มีโครงการมิกซ์ยูส ที่เตรียมเปิดตัวในปี 2566 ที่ทำเล อารีย์ มูลค่า 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดหรู 4,000 ล้านบาท และสำนักงาน 2,000 ล้านบาท
2. Fortify LifeScape & PetScape ตอกย้ำความแข็งแกร่งให้จุดเด่นของแบรนด์ จับมือพันธมิตร พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก บริการ กิจกรรม สิทธิพิเศษต่างๆ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทั้งในและนอกที่อยู่อาศัยของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับ 1 โครงการที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ทุกโครงการ (No.1 Pet-Friendly Residences) รวมถึงจับมือพันธมิตรด้านคุณภาพการออกแบบ การก่อสร้าง วัสดุ เพื่อสร้างสรรค์งาน Craft & Quality
พร้อมทั้งเดินหน้ายกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคมผ่านโครงการ Care-Share-Change ทั้งการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ตามไซต์ก่อสร้าง รวมถึงการจัดถังขยะสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ การช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงผ่านมูลนิธิต่างๆ
3. Diversify Revenue การปรับสัดส่วนโดยเพิ่มการพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น อีกทั้ง ยังขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ LifeScape Developer ด้วยการขยายธุรกิจใหม่ๆ ให้ครอบคลุมทุกมิติการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคอีก 2 ธุรกิจคือ HealthScape และ TechScape โดยในปี 2566-2567 เตรียมงบลงทุนในกลุ่มนี้ไว้ 200 ล้านบาท
ปัจจุบันเมเจอร์ฯ มีกลุ่มธุรกิจโรงแรม 2 แห่ง ที่หัวหิน และ จอมเทียน และอาคารสำนักงาน 2 แห่ง ที่ทองหล่องและพระราม 9 เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income)
ตามแผนธุรกิจ 5 ปี (2566-2571) โครงสร้างรายได้เมเจอร์ฯ ในกลุ่มพัฒนาอสังหาฯ จาก 96% จะลดลงเหลือ 65% เพื่อกระจายรายได้ยังกลุ่ม Non-Real Estate ทั้งกลุ่มเทคโนโลยี, โรงแรมและสำนักงาน และบริการด้านการบริหารโครงการอสังหาฯ
ปี 2566 เมเจอร์ฯ วางเป้าหมายยอดขาย 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200% ยอดรับรู้รายได้ 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% จากปีก่อน และจะเป็นปีที่เทิร์นอะราวด์ กลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง หลังขาดทุนในปี 2564-2565








