หากเอ่ยชื่อ Smeg เชื่อว่าหลายคนคงมีภาพตู้เย็น – กาต้มน้ำสไตล์วินเทจปรากฏขึ้นมาเป็นภาพแรก ๆ ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะ Smeg เป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านสัญชาติอิตาลีที่นอกจากจะมีอายุมากกว่า 70 ปีแล้ว ยังมีความโดดเด่นด้านดีไซน์ชนิดหาตัวจับยาก
บริษัท Smeg ก่อตั้งขึ้นที่เมือง Guastalla ประเทศอิตาลี เมื่อปี 1948 หรือเมื่อ 74 ปีก่อน ผู้ก่อตั้งคือ Vittorio Bertazzoni ทั้งนี้ ชื่อของ Smeg มาจากการนำอักษรตัวแรกของคำว่า “Smalterie Metallurgiche Emiliane Guastalla” มาเรียงต่อกัน ซึ่งมีใจความว่า “โรงงานเครื่องเคลือบในหมู่บ้าน Guastalla ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Emilia” หรือก็คือเป็นชื่อที่บ่งบอกถึงจุดกำเนิดของ Smeg นั่นเอง
ข้อมูลในปี 2020 ระบุว่า พวกเขามีพนักงาน 2,600 คน และมีรายได้ในปีดังกล่าวมากถึง 720 ล้านยูโร หรือประมาณ 26,986 ล้านบาท ส่วนรายได้ในปี 2021 เขยิบขึ้นมาเป็น 906 ล้านยูโร หรือประมาณ 33,692 ล้านบาทเลยทีเดียว
จากช่างตีเหล็กสู่ผู้สร้างงานดีไซน์
อย่างที่ทราบกันว่า เริ่มแรกเดิมที กิจการของครอบครัว Bertazzoni คือการเป็นช่างตีเหล็ก จากนั้นก็แตกแขนงออกมาเป็นสู่ธุรกิจเคลือบโลหะ โดยมีการบันทึกว่าเครื่องครัวชิ้นแรกที่ตระกูล Bertazzoni สร้างขึ้น ได้ถูกนำไปจัดแสดงในงาน World Expo ที่กรุงมิลาน ประเทศอิตาลีในปี 1906 ด้วย (งาน World Expo ในปีดังกล่าวถือเป็นงาน World Expo แรกที่ประเทศอิตาลีได้เป็นเจ้าภาพ)
พอเข้าสู่ยุค’50 ทางแบรนด์ก็เริ่มหันมาผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องแรกคือเตาแก๊สที่มาพร้อมเตาอบในชื่อรุ่น Elisabeth ซึ่งเป็นรุ่นที่มีหัวเตาแก๊สอยู่ด้านบน และด้านล่างเป็นเตาอบไฟฟ้าที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ ต่อมาในยุค’60 ทางบริษัทก็เริ่มเปิดตัวเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ตามมา เช่น เครื่องซักผ้ารุ่น Leda และการเปิดตัวเครื่องล้างจาน Niagara ในปี 1970
อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 1982 – 1985 ผลงานการดีไซน์เครื่องใช้ไฟฟ้าของ Smeg เริ่มมีความสวยงาม ปราณีต และจับกลุ่มลูกค้าระดับบนมากขึ้น เช่น การพัฒนาเตาอบสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร หรือเครื่องซักผ้าสำหรับโรงพยาบาล คลินิคทันตกรรม และมีการเปิดแผนก Smeg Instruments ขึ้นมาอย่างเป็นทางการในปี 1985
จับมือนักออกแบบชื่อดัง
อาจเรียกได้ว่า Smeg ในช่วงดังกล่าวได้ก้าวจากจุดผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปสู่ผู้สร้างผลงานศิลปะ โดยพบว่ามีการจับมือกับดีไซเนอร์ชื่อดังชาวอิตาลีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น Mario Bellini ศิลปินที่ได้ชื่อว่ามีแนวคิดร่วมสมัย ความโดดเด่นของงานดีไซน์จาก Bellini คือการเน้นรูปทรงที่มีความเป็นอิสระ ลายเส้นมีความโค้งมน ทำให้ผลงานของเขาสามารถเข้าได้กับคนทุกยุค และเป็นที่นิยมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจาก Mario Bellini แล้ว Smeg ยังร่วมงานกับนักออกแบบชื่อดังอีก 2 คน นั่นคือ Marc Newson และ Renzo Piano ซึ่งทั้งสองคนต่างเป็นนักออกแบบที่มีผลงานหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น Marc Newson ที่เคยออกแบบเรือยอร์ชให้กับ Ferretti หรือห้องโดยสารของผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาสสายการบิน Quantas ที่ประเทศออสเตรเลีย ก็มาออกแบบเตาอบให้กับ Smeg ตามภาพด้านล่างเช่นกัน
อีกหนึ่งศิลปินที่ Smeg ร่วมงานด้วย ก็คือ Guido Canali โดยเขาไม่เพียงเป็นผู้ออกแบบเตาอบเครื่องแรกให้กับบริษัทในปี 1985 (และเป็นดีไซน์ที่ทำให้เตาอบได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว) แต่ยังเป็นสถาปนิกผู้ออกแบบสำนักงานใหญ่ให้กับ Smeg ซึ่งกลายเป็นจุดสร้างชื่อให้บริษัทด้านความยั่งยืนในเวลาต่อมาด้วย
ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ Smeg เผยว่า ความโดดเด่นของสำนักงานใหญ่แห่งนี้คือการสร้างขึ้นบนเนินเขาท่ามกลางธรรมชาติ สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันกว้างไกลของแม่น้ำได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีต้นป็อปลาร์อยู่ล้อมรอบมากถึง 4,000 ต้น
“สำนักงานใหญ่ Smeg” นวัตกรรมรักษ์โลกของอิตาลี
สำนักงานใหญ่ของ Smeg ผลงานของ Guido Canali ยังได้ชื่อว่าเป็น “สถานที่” ชั้นนำด้านนวัตกรรมของประเทศอิตาลีในยุคนั้น เนื่องจากมีระบบบริหารจัดการด้านพลังงาน และรองรับแนวคิดด้านความยั่งยืน และในปี 2007 สำนักงานใหญ่แห่งนี้ยังได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวด The Modena Domotics Competition ซึ่งจัดขึ้นในประเทศอิตาลีด้วย ซึ่งผลของความโดดเด่นด้านการออกแบบดังกล่าว กลายเป็นตัวเสริมภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนให้กับ Smeg ในเวลาต่อมาได้เป็นอย่างดี
นอกจากแนวคิดขององค์กรที่ถ่ายทอดผ่านการออกแบบสำนักงานใหญ่จะทำให้ชื่อของ Smeg ได้รับความสนใจในประเด็นด้านความยั่งยืนแล้ว ยังมีเรื่องของการเลือกใช้วัสดุในการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะไม่ว่าจะเป็นเตาอบ เครื่องทำกาแฟ เครื่องล้างจาน เครื่องซักผ้า เครื่องดูดควัน ฯลฯ ทางบริษัทก็เลือกใช้วัสดุที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ใหม่ทั้งสิ้น เช่น เหล็ก แก้ว อลูมิเนียม ทองเหลือง ฯลฯ และนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สินค้าของทางแบรนด์มีราคาไม่ธรรมดาอย่างที่เราทราบกัน
ที่สำคัญ ในหลายปีที่ผ่านมา ผลงานของ Smeg ยังได้รับรางวัลด้านการออกแบบจากเวทีต่าง ๆ มากมาย เช่น Good Design Award ในปี 2021, Red Dot Design Award ในปี 2019, IF Design Award ในปี 2017 รวมถึงได้รับการจัดอันดับในผลการสำรวจต่าง ๆ มากมาย เช่น เป็นเบอร์หนึ่งของแบรนด์สินค้าสำหรับผู้บริโภคที่มีความทนทานของอิตาลี
หรือนโยบายด้านความยั่งยืนของ Smeg ยังทำให้บริษัทได้รับการจัดอันดับเป็นบริษัทเบอร์หนึ่งจาก 200 บริษัทของอิตาลีในการสำรวจชื่อ The 200 Green Stars of Italy ด้วย
ปัจจุบัน Smeg ยังคงอยู่ในการดูแลของตระกูล Bertazzoni และเชื่อว่า พวกเขายังคงรักษาเอกลักษณ์ของความเป็น Smalterie Metallurgiche Emiliane Guastalla เอาไว้อย่างเหนียวแน่น รวมถึงยังคงเดินหน้าคว้ารางวัลด้านการดีไซน์ – ความยั่งยืนจากเวทีต่าง ๆ ทั่วโลกต่อไป