
GDH ค่ายหนัง 20 ปี (นับตั้งแต่ยุค GTH) สร้างปรากฎการณ์ลงทุน “หนังไทย” รูปแบบใหม่ เปลี่ยนผู้ชมและแฟนคลับเป็นผู้ลงทุน ประเดิมเรื่องแรก “บุพเพสันนิวาส ๒” ผ่าน Destiny Token ได้รับผลตอบแทนลักษณะเดียวกับ “หุ้นกู้” ผู้ลงทุนจะได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย เมื่อจบโครงการ 2 ปี และสิทธิประโยชน์ที่เงินซื้อไม่ได้
รู้จัก Destiny Token
โปรเจกต์ Destiny Token หรือเหรียญบุพเพ ๒ เกิดขึ้นจาก GDH และ บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น ได้ร่วมทุนกันสร้าง “หนังบุพเพสันนิวาส ๒” โดยใช้คอนเซ็ปต์จากละครบุพเพสันนิวาส ที่ออกอากาศทางช่อง 3 เมื่อ 4 ปีก่อน มาทำเป็นภาพยนตร์ เขียนบทใหม่ หนังบุพเพ ๒ จึงไม่ใช่ทั้งละครบุพเพฯ ภาคแรกและ พรหมลิขิต (ภาค 2) รวมทั้งไม่ใช่การรีเมคละคร แต่อย่างใด
บทหนังบุพเพ ๒ จะเป็นชาติภพต่อไปของ “พี่หมื่นและการะเกด” เป็นเรื่องราวหลังจากพี่หมื่นและการะเกดตายไปแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่ และมาใช้ชีวิตในหนังบุพเพสันนิวาส ๒ นักแสดงนำยังเป็นคู่พระนางเดิม คือ โป๊ป ธนวรรธน์ และ เบลล่า ราณี
หนังบุพเพ ๒ ใช้เงินลงทุนสร้างราว 100 ล้านบาท วางงบโปรโมทและทำตลาดในต่างประเทศ กลุ่มเป้าหมายอาเซียนและจีน รวมทั้งการผลิตสินค้าเมอร์เชนไดส์อีก 100 ล้านบาท รวมเงินลงทุน 200 ล้านบาท
จุดเริ่มต้นของ Destiny Token เพราะ GDH และบรอดคาซท์ เห็นว่าหนังบุพเพ ๒ เป็นสิ่งที่ผู้ชมไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะอาเซียนและจีนรอติดตามชม เพราะรู้จักเรื่องนี้ดีจากละครบุพเพฯ ที่ขายลิขสิทธิ์ไปออกอากาศในหลายประเทศ จึงมองโอกาสระดมทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนและคนทั่วไป เพื่อทำโปรเจกต์นี้ให้ใหญ่ขึ้นและประสบความสำเร็จมากขึ้น
โดยได้ร่วมกับ Kubix ผู้ให้บริการ ICO Portal ในเครือธนาคารกสิกรไทย จัดทำ Destiny Token หรือเหรียญบุพเพ ๒ เปิดจำหน่ายผ่านแอป Kubix เริ่มวันที่ 23 พฤษภาคม 2565 ให้กับนักลงทุนและคนทั่วไปที่อยากมีส่วนร่วมในการลงทุนสร้างหนังบุพเพ ๒ โดยมีผลตอบแทนเริ่มต้นที่ 2.99% ต่อปี พร้อมรับคืนเงินต้น เมื่อจบโครงการ 2 ปี และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ
เหรียญบุพเพ๒ คือหุ้นกู้ไม่ใช่คริปโต
จากการกระแสตลาดคริปโตเคอร์เรนซีผันผวน เหรียญคริปโตราคาดิ่งในช่วงนี้ อาจทำให้มีความกังวลกับการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล คุณจินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด ย้ำว่า Destiny Token ไม่ใช่คริปโต โดยมีผลตอบแทนลักษณะเดียวกับ “หุ้นกู้” ที่ผู้ลงทุนจะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวนเมื่อครบระยะเวลา 2 ปี พร้อมดอกเบี้ยพื้นฐาน 2.99% ต่อปี และสิทธิพิเศษที่เงินซื้อไม่ได้ ตามประเภทเหรียญที่ซื้อ ซึ่งมี 3 ราคา ดังนี้
– I am Glad Token ราคา 5,559 บาท จำนวน 15,559 โทเคน
– I am Delighted Token ราคา 155,559 บาท จำนวน 459 โทเคน
– I am Happy Token ราคา 1,555,559 บาท จำนวน 69 โทเคน
รวมทั้งหมด 16,087 โทเคน คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 265 ล้านบาท
สิทธิประโยชน์โทเคน
– ผู้ลงทุน Destiny Token ทั้ง 3 โทเคน จะได้ผลตอบแทนอยู่ที่ 2.99% ต่อปี ของมูลค่าเงินลงทุน และหากภาพยนตร์บุพเพสันนิวาส ๒ ทำรายได้ในโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยได้ถึง 1,000 ล้านบาท DESTINY TOKEN จะจ่ายผลตอบแทนโบนัสเพิ่มอีก 2.01% ต่อปี รวมเป็น 5% ต่อปี โดยโครงการมีอายุไม่เกิน 2 ปี นับตั้งแต่วันเริ่มต้นโครงการ
– นอกจากได้ผลตอบแทนแล้ว ผู้ลงทุนจะได้ดูภาพยนตร์ บุพเพสันนิวาส ๒ ก่อนเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ วันที่ 28 กรกฎาคม 2565 พร้อมสิทธิประโยชน์ต่างๆ
– ผู้ซื้อเหรียญใหญ่แพงสุด I am Happy ราคา 1,555,559 บาท เป็นกลุ่มแรกที่จะได้ดูหนังก่อนเข้าโรง คือในวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 พร้อมรับประทานอาหารมื้อพิเศษร่วมกับนักแสดง โดยทั้ง 69 คนที่ซื้อโทเคน ชื่อทุกคนจะถูกใส่ใน End Credit ของหนัง เป็นผู้อำนวยการสร้าง ต่อจากชื่อ คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม และคุณบุษบา ดาวเรือง จากจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และได้รับของที่ระลึกคอลเลกชั่นพิเศษ
– ผู้ซื้อเหรียญกลาง I am Delighted และ เหรียญเล็ก I am Glad จะได้ดูหนังก่อนเข้าโรง คือในวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 พร้อมของที่ระลึก
– กลุ่มเป้าหมายคนซื้อโทเคน มีทั้งคนที่ชื่นชอบหนัง และนักลงทุน โดย I am Happy ราคา 1.5 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุน
พลิกโฉมระดมทุนสร้างหนังไทย
ในโลกยุคใหม่การทำงานสร้างสรรค์หรือคอนเทนต์ มีโลกตลาดทุนและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุน โปรเจกต์ Destiny Token จึงเป็นการเปลี่ยนผู้ชมให้มาเป็นผู้ลงทุนหนังที่ชื่นชอบและได้ผลประโยชน์กลับไปด้วย เป็นอีกรูปแบบการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากธนาคาร ขณะที่ผู้สร้างหนังก็มีแหล่งเงินทุนจากผู้ชมและแฟนคลับ
แม้เป็นเรื่องใหม่และยากสำหรับ GDH ในการระดมทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ก็จะทำให้สำเร็จ เพื่อจุดประกายให้นักลงทุนเห็นโอกาสในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย อีก Soft Power ที่แข็งแกร่ง และเป็นอีกช่องทางของผู้สร้างหนังไทยในการหาแหล่งเงินทุนผ่านเทคโนโลยีใหม่ โดยไม่ต้องกู้เงินธนาคารอย่างเดียว
หากโปรเจกต์ Destiny Token ทำได้สำเร็จ ก็เชื่อว่าจะมีโครงการต่อไป
ปีนี้ลุ้นรายได้สูงสุด 700 ล้าน
สำหรับแผนธุรกิจภาพยนตร์ GDH ปีนี้ คุณจินา บอกว่ามีหนังออกฉายในโรงภาพยนตร์ 5 เรื่อง หลังจากช่วงโควิด 2 ปีที่ผ่านมา มีหนังเข้าโรงไม่มาก ปี 2563 มี 1 เรื่อง คือ “อ้าย..คนหล่อลวง” ปี 2564 มีหนัง 2 เรื่อง คือ ghost lab ที่ตัดสินใจออกฉายใน Netflix เพราะสถานการณ์โควิดรุนแรงและโรงหนังถูกปิด อีกเรื่อง คือ “ร่างทรง” หนังร่วมทุนเกาหลี ในประเทศทำรายได้ 112 ล้านบาท ซึ่งถือว่าดีมาก และขายลิขสิทธิ์ซีรีส์ให้แพลตฟอร์มต่างๆ ได้ต่อเนื่อง ทำให้ปี 2564 ทำรายได้ 258 ล้านบาท ยังมีกำไร 40 ล้านบาท
ปี 2565 GDH เปิดตัวครึ่งปีแรกด้วยหนังเรื่อง Fast & Feel Love ทำรายได้ไป 20 ล้านบาท จากผลกระทบโควิดในประเทศยังมีอยู่ แต่หนังได้รับความสนใจจากตลาดต่างประเทศ คาดว่าจะขายลิขสิทธิ์ได้หลายประเทศ
ส่วนครึ่งปีหลังมีอีก 4 เรื่อง เตรียมเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ เริ่มที่บิ๊กโปรเจกต์ “บุพเพสันนิวาส ๒” เข้าโรงวันที่ 28 กรกฎาคม 2565 , เดือนกันยายน เรื่อง OMG – Oh My Girl หนังรักวัยรุ่น จากผู้กำกับ “พงศ์ ฐิติพงศ์ เกิดทองทวี”, เดือนตุลาคม เรื่อง Home For Rent หนังผี จากผู้กำกับ “จิม โสภณ ศักดาพิศิษฏ์” และเดือนธันวาคม เรื่อง You & Me หนังรักวัยรุ่น จากผู้กำกับคู่แฝด “วรรณแววและแวววรรณ หงษ์วิวัฒน์”
ปกติ GDH จะสร้างหนังออกฉายในโรงภาพยนตร์ปีละ 3 เรื่อง แต่ปีนี้มี 5 เรื่อง ส่วนหนึ่งชะลอมาจากช่วง 2 ปีโควิด ปีนี้มีบิ๊ก โปรเจกต์ หนังบุพเพ ๒ ที่คาดว่าจะทำรายได้สูงสุดทั่วประเทศ 600 ล้านบาท ซึ่ง I Fine Thank You Love You ปี 2557 เคยทำได้ 700 ล้านบาท มาแล้ว เชื่อว่า หนังบุพเพ ๒ น่าจะทำได้เช่นกัน
หากหนังบุพเพ ๒ ทำรายได้ในโรงภาพยนตร์ 600 ล้านบาท ก็จะมีส่วนแบ่งรายได้ให้เจ้าของหนัง 300 ล้านบาท (แบ่งคนละครึ่งกับโรงหนัง) แต่ก็คาดหวังให้หนังบุพเพ ๒ ทำรายได้ 1,000 ล้านบาท เพื่อจะได้ให้ผลตอบแทนผู้ลงทุน Destiny Token เพิ่มขึ้น โดยหนังบุพเพ ๒ ยังมีโอกาสสร้างรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ในต่างประเทศอีกราว 2 ล้านเหรียญสหรัฐ
“เมื่อผู้ชมได้ดูหนังบุพเพ ๒ เชื่อว่าจะเป็นปรากฎการณ์ดึงคนไทยทั่วประเทศออกมาดูหนังได้อีกครั้ง เหมือนยุคที่ GTH เคยสร้างปรากฎการณ์จากหนังเรื่อง พี่มาก…พระโขนง มาแล้ว”
จากจำนวนหนังออกฉายในโรงภาพยนตร์ปีนี้ 5 เรื่อง รวมทั้งบิ๊กโปรเจกต์หนังบุพเพ ๒ ปีนี้ GDH คาดว่าจะทำรายได้ 700 ล้านบาท ถือเป็นรายได้สูงสุดทุบสถิติตั้งแต่ก่อตั้ง GDH ในปี 2559 โดยปีที่ทำรายได้สูงสุดคือ ปี 2561-2562 รายได้ปีละ 400 ล้านบาท กำไรปีละ 100 ล้าน
เชื่อมั่นว่าหลังจบโควิด อุตสาหกรรมหนังไทยไปต่อได้ และยังเป็นคอนเทนต์ที่ต้องฉายในโรงภาพยนตร์ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีในการรับชมหนังและโรงหนังก็เหมือนช้อนกับส้อม ยังไงต้องอยู่ด้วยกัน ความตั้งใจของ GDH ยังทำหนังเพื่อฉายในโรงเช่นเดิม ส่วนช่องทางสตรีมมิ่งเป็นอีกแพลตฟอร์มที่เข้าถึงผู้ชมอีกกลุ่มที่ไม่ได้มาดูที่โรงหนังและเป็นอีกช่องทางสร้างรายได้ให้ค่ายหนัง
อ่านเพิ่มเติม







