
โดยทุกวันนี้ต้องยอมรับว่า ไม่เฉพาะธุรกิจค้าปลีก ยานยนต์ หรือธนาคารที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ และปรับลดจำนวนสาขา รวมถึงพนักงานกันตลอดเวลา เพราะอุตสาหกรรมอาหารเองก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ซึ่งกรณีของ Pizza Hut ในสหรัฐอเมริกานั้น การเปลี่ยนแปลงอาจเริ่มตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ที่บริษัทแม่อย่าง Yum ตัดสินใจลงทุนใน Grubhub เป็นเงิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ และเปิดทางให้ Grubhub เข้ามาช่วยจัดส่งอาหารให้กับทางค่าย (ขณะที่คู่แข่งอย่าง Domino’s Pizza ปฏิเสธหัวชนฝาว่าไม่มีทางยอมให้ Third Party จัดส่งพิซซ่าของบริษัทแทนแน่นอน เพราะมองในเรื่องของประสบการณ์ที่ผู้สั่งพิซซ่าจะได้รับว่าสำคัญกว่า)
ส่วนค่าย Yum นั้น นัยว่าเป็นการตัดสินใจเพื่อให้ Yum เข้าถึงฐานข้อมูลลูกค้าของ Grubhub ที่มีผู้บริโภคเข้ามาสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มมากถึง 125 ล้านออเดอร์ต่อปี เพื่อจะได้ทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ได้มากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ การปรับเปลี่ยนต่อมาที่กลายเป็นการประกาศปิดสาขา 500 แห่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียว เพราะ David W. Gibbs ประธานผู้บริหารของ Pizza Hut เผยว่า มันเป็นการปรับลดสาขาเพื่อการเติบโตในระยะยาวของธุรกิจ Pizza Hut ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลของการปรับเปลี่ยนนี้จึงอาจทำให้ร้านสาขาของ Pizza Hut ต้องลดลงเหลือ 7,000 แห่งภายใน 24 เดือนข้างหน้า จากที่เคยมีถึง 7,496 แห่งทั่วประเทศ โดยจะเน้นไปที่ร้านที่ทำยอดขายได้ไม่ดีนักเป็นอันดับแรก
David W. Gibbs ยังเผยด้วยว่า การลดจำนวนสาขาลงเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนระยะสั้น ซึ่ง Pizza Hut อาจจะกลับมามีสาขาเท่าเดิม หรือมากกว่าเดิมในอนาคตก็เป็นได้
ตลาดฟาสต์ฟู้ดกำลังพลิกโฉมหน้าไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ดี Alyssa Newcomb ผู้สื่อข่าวจาก today.com ให้ทัศนะไว้ข้อหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือการพบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคได้เปลี่ยนแปลงไป ดังจะเห็นได้ว่า การไปรับประทานพิซซ่าที่ร้านแบบพร้อมหน้าพร้อมตาของเพื่อนฝูงหรือครอบครัวนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่คนยุคใหม่ให้ความสำคัญอีกต่อไปแล้ว
ขณะที่อีกหนึ่งสัญญาณก็คือ ตลาดดังกล่าวกำลังเผชิญกับ Disruptor รายใหม่ที่มาจากธุรกิจ Food Delivery เห็นได้จากความพยายามของ Domino’s Pizza ที่ต้องสร้างแบรนด์หนักขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคยังคงคิดถึงเมื่อท้องร้อง เพราะในมือของพวกเขาพร้อมจะคลิกไปหาแอปพลิเคชัน Food Delivery แทนกันแล้วเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในนั้น อาจมีแบรนด์พิซซ่าน้อยรายยอมเสียศักดิ์ศรีเข้าไปปรากฏตัว
ด้าน Chris O’Cull นักวิเคราะห์จาก Stifel เผยว่า อาจเป็นการด่วนเกินไปที่จะสรุปว่าการปรับลดสาขานี้เป็นผลบวกหรือลบต่อองค์กร ดังนั้น เราจึงควรรอดูผลประกอบการในไตรมาสถัดไปของบริษัทก่อนว่าเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ การประกาศครั้งนี้ทำให้หุ้นของ Yum มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.35% เลยทีเดียว



