
Roma หนังที่ Netflix ทุ่มสุดตัว เพื่อคว้า “กล่อง”
Roma เป็นภาพยนตร์ขาว-ดำ เล่าเรื่องครอบครัวๆ หนึ่งในเมืองโรม่า ที่ “โซเฟีย” เพิ่งแยกจากสามี แต่เธอยังไม่พร้อมที่จะบอกกับลูกๆ ทั้ง 4 คน โชคดีที่ยังมีสาวใช้ “คลีโอ” ที่ช่วยทุกสิ่งทุกอย่าง จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว หนังเล่าเรื่องครบรสทั้งดราม่าขั้นสุด โรแมนติค สอดแทรกมุขตลก ผลงานเรื่องนี้เป็นของ Alfonso Cuarón ผู้กำกับชาวแม็กซิกัน ที่เคยมีผลงานที่เราประทับใจมาแล้วอย่างเช่น A Little Princess (1995), Children of Men (2006) และ Gravity(2013)
Netflix ซื้อลิขสิทธิ์เรื่องนี้มาแบบ Full-License ครอบคลุมลิขสิทธิ์ทุกด้าน และจากทุนสร้างของหนังเรื่องนี้ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ Netflix ใช้เงินถึง 30 ล้านเหรียญโปรโมทภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเริ่มต้นจากการจ้างทีมงานผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพที่ถนัดทำแคมเปญเพื่อสร้างกระแสให้ได้รางวัล การใช้งานถึงเท่าตัวของทุนสร้างนี้ทำให้ Roma เป็นภาพยนตร์ที่ใช้งบประมาณการตลาดสูงที่สุดแซงหน้า หนังเรื่อง The Social Network ที่ใช้ไป 25 ล้านเหรียญทันที
รายละเอียดของแคมเปญการตลาด อย่างเช่น ซื้อบิลบอร์ทั่งเมืองลอสแองเจิลลีส ส่งช็อกโกแลตพร้อมจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของ Yalitza Aparicio นักแสดงนำของเรื่อง ซึ่งเข้าชิงรางวัลสาขา Best Actress ด้วย ทั้งหมดนี้เพื่อสะกดจิตสมาชิกของออสการ์ที่มีสิทธิ์โหวตราว 7,000 คน หลังจากหนังเรื่องนี้เดินหน้าคว้ารางวัลมาจากหลายเวทีแล้ว รวมทั้งกระแสดีสุดๆ จนขยายโรงฉายเป็น 500 แห่งใน 40 ประเทศ และกว่า 100 แห่งในสหรัฐอเมริกา และแน่นอนว่าฉายใน Netflix เมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคม เพื่อทำให้ผู้ชมจำนวนมากที่เป็นแฟน Netflix อยู่แล้ว ได้ดูช่วงใกล้ๆ ระยะเวลาตัดสินออสการ์ ซึ่งจะมีขึ้นช่วงปลายๆ กุมภาพันธ์
เหตุผลสำคัญที่ Netflix ต้องจริงจังกับเรื่องนี้ ขนาดนี้ก็เพราะหวังว่า Roma จะช่วยยกระดับแบรนด์ Netflix ในวงการภาพยนตร์ หลังจากประสบความสำเร็จมาแล้วจากการสร้างแบรนด์ในคอนเทนต์ประเภทซีรี่ส์ การได้รางวัล Best Picture จากเวลาออสการ์จะเป็นเครื่องหมายการันตีให้ Netflix ได้ภาพลักษณ์ของความ “พรีเมี่ยม” และ “คุณภาพ”
แต่เมื่อประกาศผลออกมา กลายเป็นว่า Green Book คว้ารางวัล Best Picture ไปครองชนิดหักปากกาเซียน นักวิจารณ์บางคนเรียกว่านี่คือภาพยนตร์ที่แย่ที่สุดที่ได้รางวัล Best Picture นับตั้งแต่เรื่อง Crash ในปี 2006 เป็นต้นมา
ภายในไม่ถึง 2 อาทิตย์คนอกหักอย่าง Netflix ก็ส่งโฆษณาชุด Make Room ออกมาเพื่อตอบโต้สมาชิกออสการ์ทันที โดยเล่าเรื่องผ่านนักแสดงที่เคยพลาดหวังจากเวทีต่างๆ แล้วตั้งคำถามสำคัญ เช่น คุณเคยอยู่ในห้องที่คุณค้นพบว่าคุณแตกต่างจากคนอื่นไหม โลกนี้มีพื้นที่มากมาย แต่มันกลับถูกจำกัดไว้ ฯลฯ เป็นการโยนแรงกดดันไปสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ขนานใหญ่
https://www.youtube.com/watch?v=Hx7Nbm_px1c
เส้นทางการคว้าชัยของ Netflix บนเวทีออสการ์ยังคงต้องพยายามต่อไป สมาชิกหลายคนในออสการ์เอง ก็รับรู้กระแสการเฟื่องฟูของ Online Streaming ซึ่งปีนี้การแข่งขันรุนแรงขึ้นแน่ๆ เพราะ Disney, Apple, Amazon ต่างก็เผยไต๋ออกมาแล้วว่าจะจริงจังในธุรกิจคอนเทนต์ให้มากขึ้นโดยลุยแพล็ตฟอร์มของตัวเอง ยักษ์ใหญ่เหล่านี้พร้อมจะเทเงินเข้ามาเพื่อทำการตลาด สร้าง Original Content ซึ่งนั่นเท่ากับแย่งลูกค้าที่ดูหนังโรง แต่ในขณะเดียวกันก็มีเงินกว้านซื้อลิขสิทธิ์ผลงานชั้นดีมาอยู่ในเครือซึ่งเป็นการสนับสนุนคนสร้างหนัง หรือไม่ก็อาจจถึงขั้นซื้อค่ายสตูดิโอหนังเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองเลยก็เป็นได้?!?
Eco-System ระหว่างอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูด กับ Online Streaming จึงกลายเป็นการต่อสู้-พึ่งพาอาศัย ที่ทั้งรัก-ทั้งเกลียด และออดอ้อน-ง้องอน กันไปมาอยู่แบบนี้
“Oscar” มนต์ขลังที่ต้องท้าทายกระแสดิจิทัล
นอกเหนือจากเรื่องผลรางวัลที่เอามาคิดในมุมธุรกิจแล้วมีเรื่องราวที่เราต้องติดตามต่อแล้ว ตัว “ออสการ์” เองก็มีเรื่องราวในแง่มุม “มีเดีย” ที่มีประเด็นน่าสนใจไม่น้อย เมื่อ Oscar ครั้งที่ 91 นี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ “ไม่มี” พิธีกร
การที่ออสการ์ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดงาน ก็เพราะว่าในระยะหลังเรตติ้งของออสการ์ดำดิ่ง ช่อง ABC เจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดเองก็เผชิญหน้ากับปัญหาการขายพื้นที่โฆษณา ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นโมเมนต์ที่คนทั่วโลกจับตามอง แต่ราคาและการที่สามารถรับชมเฉพาะไฮไลต์ช่วงสำคัญๆ ทางออนไลน์ ก็ทำให้มีผู้ชมถ่ายทอดสดลดลง นั่นทำให้ออสการ์รู้ดีว่าต้องทำอะไรบางอย่าง และสิ่งที่เราสังเกตเห็นได้ชัดที่สุดก็คือ การที่ “ไม่มีพิธีกร”
หลายปีที่ผ่านมาเมื่อมีพิธีกรคนเดียวรันตลอดอีเว้นท์ กลายเป็นความเสี่ยงสูง ถ้าหากว่า “สคริปต์” หรือว่า “บารมี” ของพิธีกรคนนั้นไม่มากพอ ก็พาลทำให้ออสการ์กลายเป็นโชว์ที่แสนจะน่าเบื่อทั้งรายการ แต่ถ้าหากว่าพิธีกรคนนั้นทำได้ดี บิ๊กอีเว้นท์ในปีนั้นก็ “รอด” นั่นเท่ากับเอาความเสี่ยงไปแบกไว้ที่คนๆ เดียว … อีกทั้งการที่ตัดพิธีกรออก ยังช่วยย่นระยะเวลาในงานให้สั้นลง โดยนับเวลาถ่ายทอดสดแล้ว Oscar รอบนี้ใช้เวลาน้อยกว่าปีที่แล้วประมาณ 30 นาที
ไม่ใช่แค่เรื่องพิธีกรเท่านั้น “โชว์” ในออสการ์ครั้งนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นอีเว้นท์ที่โชว์ “เพลง” ยิ่งใหญ่ที่สุดรองจาก Grammy Awards โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่ได้เรตติ้งดีที่สุดในการประกาศผลรางวัลออสการ์ในครั้งนี้คือ โชว์เพลงคู่ของ Lady Gaga – Bradley Cooper แถมค่ำคืนนั้น Lady Gaga ยังสร้างประวัติศาสตร์เป็นคนแรกที่คว้าทั้ง Oscar, Grammy Awards, BAFTA และ Golden Globe ภายในปีเดียวกัน รวมทั้งกล่าสุนทรพจน์ขณะรับรางวัลได้อย่างน่าประทับใจ
จาการปรับตัวดังที่กล่าวมา รวมทั้งโมเมนต์เด็ดๆ ก็ทำให้เรตติ้งของออสการ์ในปีนี้ขยับขึ้นจาก 6.8 หรือมีผู้ชม 26.5 ล้านคนในปี 2018 มาเป็นเรตติ้ง 7.7 หรือผู้ชมจำนวน 29.6 ล้านคนในครั้งนี้ ซึ่งถือว่าปีที่แล้วเป็นปีที่มีผู้ชมน้อยที่สุด ปีนี้กลับเป็นปีที่ออสการ์อยู่ในจุดที่มีผู้ชมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ Academy Awards เลยทีเดียว



