นับเป็น Big Challenge ในรอบ 40 ปี ของมาลีกรุ๊ป จากที่ผ่านมาจะโฟกัสการทำธุรกิจในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มมาโดยตลอด ทั้งผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของตัวเองอย่าง Malee ในกลุ่มน้ำผลไม้และผลไม้กระป๋อง รวมทั้งการเป็นผู้รับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ต่างๆ จนกลายเป็นหนึ่งใน Key Player สำคัญของตลาดน้ำผลไม้และผลไม้กระป๋องของไทยที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี
ขณะที่ความเคลื่อนไหวล่าสุด มาลีกรุ๊ปกระโดดข้ามอุตสาหกรรมที่คุ้นเคยกว่า 40 ปี เพื่อเข้าไปแข่งในตลาดที่ใหญ่กว่าอย่างกลุ่ม Personal Care ที่มีมูลค่าตลาดในไทยสูงกว่า1.54 แสนล้านบาท ด้วยการจับมือกับพันธมิตรอย่าง บริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเซีย (PT Kino Indonesia Tbk) ยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของอินโดนีเซีย เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน มาลี คีโน่ ประเทศไทย จำกัด ภายใต้ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท โดยมาลีกรุ๊ป มีสัดส่วนการถือหุ้น 51% และทาง PT Kino Indonesia Tbk ถือหุ้นในสัดส่วน 49% พร้อมแต่งตั้งพันธมิตรอย่าง บริษัท ซีพี คอนซูเมอร์โพรดักส์ จำกัด ทำหน้าที่ดูแลด้านการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าทั่วประเทศ
โอกาสจากการก้าวมาสู่ธุรกิจใหม่ของมาลีกรุ๊ปในครั้งนี้ นอกจากการเข้ามาแบ่งเค้กจากสินค้าในตลาด Personal Care ที่แม้จะมีผู้เล่นหลากหลายและแข่งขันรุนแรง แต่ก็เป็นตลาดที่ใหญ่กว่าตลาดน้ำผลไม้และผลไม้กระป๋องที่มีมูลค่าอยู่ที่ราวๆ ไม่เกิน 15,000 ล้านบาท เรียกได้ว่าเป็นการกระโจนเข้ามาในตลาดที่ใหญ่กว่าเดิมกว่า10 เท่าตัวเลยทีเดียว รวมทั้งโอกาสที่จะเกิดจากกลยุทธ์ในการขยายตลาดด้วยการจับมือกับบริษัทพาร์ทเนอร์ชั้นนำ ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ รวมถึงช่องทางขายและการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย
คุณโอภาส โลพันธ์ศรี ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการขายและการตลาด บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การขยายฐานธุรกิจใหม่มาสู่ตลาดเครื่องใช้ส่วนบุคคลในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่และท้าทายของมาลีกรุ๊ป ที่เน้นตลาดอาหารและเครื่องดื่มมาตลอด 40 ปี และถือเป็นการต่อยอดการขยายฐานธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตขององค์กรไปในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ซึ่งบริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเซีย (PT Kino Indonesia Tbk) มีความแข็งแรงในการทำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่อินโดนีเซีย ทั้งในตลาดเครื่องใช้ส่วนบุคคล อาหารและเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยา และยังเป็นการขยายโอกาสในการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการให้กับผู้บริโภคทั้ง 2 ประเทศ ที่มีกำลังซื้อรวมไม่ต่ำกว่า 330 ล้านคน
สำหรับการ Cross Industry ครั้งแรกของมาลีในรอบ 4 ทศวรรษนี้ เลือกที่จะนำร่องด้วยการทำตลาดใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงและทำความสะอาดผิวหน้า ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม และผลิตภัณฑ์สำหรับช่องปากและฟัน
1. ผลิตภัณฑ์บำรุงและทำความสะอาดผิวหน้า มีมูลค่าตลาด 70,000 ล้านบาท เติบโต 6.1%
2. ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม มีมูลค่าตลาด 29,000 ล้านบาท เติบโต 6.3%
3. ผลิตภัณฑ์สำหรับช่องปากและฟัน มีมูลค่าตลาด 8,000 ล้านบาท เติบโต 7.2%







