HomeBrand Move !!เปิดแผน สิงห์ เอสเตท ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน..แค่เบียร์ยังไม่พอ ขอเป็นเจ้าอสังหาฯระดับโลก

เปิดแผน สิงห์ เอสเตท ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน..แค่เบียร์ยังไม่พอ ขอเป็นเจ้าอสังหาฯระดับโลก

แชร์ :

singha-estate-global2

สิงห์ เอสเตท (Singha Estate) เตรียมโกอินเตอร์ สู่การเป็นผู้ประกอบการอสังหาระดับโลก เตรียมซื้อกิจการโรงแรม ในอาเซียน สร้างการเติบโต ปักหมุดบริหารโปรเจ็คต์ยักษ์ในมัลดีฟส์ พร้อมพัฒนาคฤหาสน์สุดหรู “สันติบุรี เรสซิเดนซ์” ขายหลังละ 200 ล้านบาท

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า จากวิชั่น 2020 หรือปี 2563 ที่บริษัทต้องการผลักดันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้มีรายได้ 2 หมื่นล้านบาท และเติบโตเป็นแบรนด์ระดับโลก ซึ่งจากการขยายธุรกิจ ลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ทั้งที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน(ออฟฟิศ) พื้นที่ค้าปลีก โรงแรม นิคมอุตสาหกรรม และรับบริหารโครงการต่างๆ ส่งผลให้การเป็นแบรนด์ระดับโลกใกล้เป้าหมายมากขึ้น และอาจจะเห็นภาพชัดในปี 2561

โดยแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2560 บริษัทเตรียมงบลงทุนประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ 3โครงการ ได้แก่ คอนโดมิเนียมหรู The ESSE at SINGHA COMPLEX จำนวน 319 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท โครงการสันติบุรี เรสซิเดนซ์ บนถนนประดิษฐมนูธรรม เนื้อที่กว่า 45 ไร่  มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวถือเป็นบ้านเดี่ยวสุดหรูระดับ 6 ดาว จำนวน 24 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อยูนิต จุดเด่นของโครงการจะไม่ใช่บ้านหรูโอ่อ่า แต่จะเน้นที่การสร้างความร่มรื่นด้วยแมกไม้ธรรมชาติ และโครงการสุดท้ายเป็นคอนโดมิเนียมหรู บนเนื้อที่ 2 ไร่ ติดถนนทองหล่อ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท

singha-complex-%e0%b8%ad%e0%b9%82%e0%b8%a8%e0%b8%811

SINGHA COMPLEX

นอกจากนี้ หลังจากบริษัทได้เข้าไปซื้อหุ้นบริษัท ไดอิ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์รั้วสำเร็จรูป อิฐบล็อก รับสร้างบ้าน รวมถึงประตูหน้าต่างจากญี่ปุ่น ในปีที่ผ่านมาในสัดส่วน 55.63% และทำการแลกหุ้นกับบริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด บริษัทพัฒนาบ้านหรูในเครือของสิงห์ จะช่วย Synergy ธุรกิจอสังหาฯของสิงห์ให้แกร่งมากขึ้น

เดิมบริษัท เนอวานาฯ เน้นพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป แต่หลังการรวมธุรกิจกับไดอิ แล้ว จะเน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยวและบ้านหรูระดับราคาประมาณ 8-10 ล้านบาท เจาะตลาดระดับกลางมากขึ้น ขณะเดียวกันไดอิ ก็จะเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น รั้ว ผนังสำเร็จรูป ให้มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อนำไปใช้กับโครงการต่างๆของเครือบุญรอดบริวเวอรี จำกัด

“สิงห์ เอสเตท จะเน้นพัฒนาโครงการระดับลักชัวรีเท่านั้น และต่อไปตลาดระดับกลาง-ล่างก็จะเป็นเนอวานา และไดอิ เป็นผู้ดำเนินการ และหากทั้ง 2 บริษัท สามารถซีนเนอร์ยีกันได้จะดีมาก หากการพัฒนาโครงการให้เกิดได้สักโครงการ ก็มีโอกาสที่บริษัทจะขยายการพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับ 2 ล้านบาท ไปยังที่ดินของเอเย่นต์บุญรอดฯ ในต่างจังหวัด ซึ่งเครือบุญรอดฯมีอยู่จำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นที่ดินใกล้กับโรงงาน”

การ Synergy ธุรกิจของสิงห์ เอสเตท กับเครือบุญรอดฯ ไม่หมดเพียงเท่านี้ เนื่องจากการพัฒนาโครงการผสมผสาน(Mixed use) ออฟฟิศ พื้นที่รีเทล โรงแรมและคอนโดมิเนียมภายใต้โครงการ SINGHA COMPLEX ถนนอโศก-เพชรบุรี ก็เตรียมนำสินค้าและบริการในเครือบุญรอดฯ เช่น Farm Design EST.33 มาเปิดให้บริการในพื้นที่รีเทลด้วย

singha-complex-%e0%b8%ad%e0%b9%82%e0%b8%a8%e0%b8%81-%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%8a%e0%b8%a31

SINGHA COMPLEX ยามค่ำคืน

อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะลงทุนจำนวนมาก แต่ในปีนี้บริษัทอาจใช้งบลงทุนมากกว่าที่ตั้งไว้ เนื่องจากยังมีแผนจะซื้อกิจการโรงแรม 2-3แห่ง ในภูมิภาคอาเซียน โฟกัสไปยังกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ที่มีศักยภาพและเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว(Destination) โดยมองขนาดการลงทุนไว้ที่ 2,000 ล้านบาทต่อแห่ง รวมทั้งมีแผนในขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย บ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมในกลุ่มประเทศ CLMV ภายใน 2 ปี และบริษัทยังต้องเดินหน้าซื้อที่ดินใหม่ย่านใจกลางธุรกิจ(CBD) ประมาณ 2 แปลง เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2561

การลงทุนในต่างประเทศที่น่าสนใจอีกโครงการคือการที่บริษัทเข้าทำสัญญากับรัฐบาลมัลดีฟส์ เพื่อเป็นผู้บริหารโครงการในประเทศมัลดีฟส์ให้เป็นรีสอร์ทครบวงจรหรือ Fully Integrated Resort เพื่อเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดในมัลดีฟส์ อันประกอบด้วย โรงแรม มารีน่า บีช คลับ ร้านค้าปลอดภาษี เป็นต้น โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเข้ามาลงทุนในโครงการดังกล่าว ซึ่งมีทั้งผู้ลงทุนทางด้านการเงิน(financial investor) และผู้บริหาร(เชน)กิจการโรงแรม รีสอร์ท และบีช คลับ หากโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จ จะส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากการบริหารโครงการ

ปัจจุบันสิงห์ เอสเตท มีโครงการอสังหาริมทรัพย์มากมาย เช่น โรงแรมในไทย เช่น โรงแรมสันติบุรี บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา สมุย, โรงแรมพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท เป็นต้น ออฟฟิศ เช่น ตึก SUN TOWER RASA TOWER เป็นต้น บ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม พัฒนาโดยบริษัท เนอวานาฯ และยังมีโรงแรมในต่างประเทศ 29 แห่ง อยู่ในสหราชอาราจักร 22 แห่ง และสก๊อตแลนด์ 7 แห่ง ภายใต้ 2 แบรนด์ ได้แก่ Mercure และ Holiday Inn

สำหรับการดำเนินธุรกิจโรงแรม บริษัทเตรียมผลักดันบริษัท เอส เอช อาร์ ซึ่งทำหน้าที่ในการบริหารกิจการโรงแรม เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการบริหารธุรกิจ และมีอิสรภาพทางการเงินมากขึ้นด้วย เบื้องต้นบริษัทดังกล่าวมีความพร้อมแล้ว แต่รอให้มีรายได้แตะระดับ 5,000-6,000 ล้านบาทเสียก่อน

อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวจะส่งผลให้ปีนี้บริษัทมียอดขาย 6,068 ล้านบาท เติบโต 521% จากปีก่อน ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้(Backlog) 8,000 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้ภายใน 2-3 ปี

“แม้เราจะลงทุนในอาเซียน เอเชีย แต่ภาพของการเป็น regional brand เราก้าวข้ามไปแล้ว เพราะเรามีโรงแรมในต่างประเทศอย่างอังกฤษค่อนข้างมาก แต่การซื้อกิจการโรงแรมเพิ่ม จะช่วยให้ภาพการเป็นโกลบอลแบรนด์ของสิงห์เอสเตทชัดมากขึ้นในปีหน้า อย่างไรก็ตาม ความท้าทาย หลักๆที่จะเป็นกุญแจสำคัญของสิงห์ เอสเตทในปีนี้ คือการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท หากทำยอดขายได้ตามเป้าหมายก็จะดี  รวมถึงการ Synergy ระหว่างเนอวากับไดอิ กรุ๊ป เห็นภาพ ขณะที่การหาพันธมิตรเข้ามาร่วมธุรกิจกับเราก็มุ่งการหาทางลัดในการสร้างตลาดและสร้างแบรนด์ระดับโลก”

 

เรื่อง : นายบุญจันทร์


แชร์ :

You may also like