“พลังงานสีเขียว” หรือ “Green Energy” เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพราะเป็นเมกะเทรนด์ระดับโลก และหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตยั่งยืนไปพร้อมกับสิ่งแวดล้อม หลายประเทศต่างเดินหน้าเปลี่ยนผ่านระบบพลังงานสู่ความยั่งยืน และมีหลายประเทศประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะสามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ จนเกิดธุรกิจหลากหลาย แถมยังสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างน่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือ บริษัทด้านพลังงานและยานยนต์ยุคใหม่ในเมืองกวางโจว และซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพชัดมากขึ้น “บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)” หรือ “OR” จึงอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักเมืองกวางโจว และซัวเถาให้มากขึ้นกว่านี้ พร้อมทั้งเรียนรู้วิธีคิดและกระบวนการพัฒนาพลังงานสีเขียวจากบริษัทต้นแบบเหล่านี้ เพื่อนำไปพลิกโฉมธุรกิจพลังงานในไทยให้เติบโตยั่งยืนไปด้วยกัน
V2G นวัตกรรมชาร์จรถ EV ที่สร้างรายได้ และโลกยั่งยืน
“กวางโจว” เป็นเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำจูเจียง ในอดีตเป็นเมืองการค้าเก่าแก่ เนื่องจากเป็นพื้นที่แรกที่มีการค้าขายกับต่างชาติ ต่อมาได้ยกระดับเป็นเมืองยุทธศาสตร์ในโครงการ Greater Bay Area (GBA) ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจของจีน ประกอบไปด้วย 9 เมืองในมณฑลกวางตุ้ง รวมถึงฮ่องกงและมาเก๊า เท่านั้นยังไม่พอ คุณกาจฐิติ วิวัธวานนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครกวางโจว บอกว่า จีนยังมุ่งหวังที่จะยกระดับอุตสาหกรรมด้วยแนวคิด High Quality Development อย่างจริงจัง เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว

คุณกาจฐิติ วิวัธวานนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครกวางโจว
ซึ่งการจะไปถึงจุดนั้น คุณกาจฐิติ บอกว่า หัวใจสำคัญอยู่ที่การปรับรูปแบบการผลิตใหม่ โดยเน้นไปที่การพัฒนาคุณภาพสูง ด้วยการวิจัยและใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิต ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นั่นทำให้กวางโจวได้เริ่มนำเทคโนโลยีสุดล้ำมายกระดับประสิทธิภาพการผลิต พร้อมกับการพัฒนาพลังงานสะอาดมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้กวางโจวในวันนี้มีความทันสมัยก้าวหน้ามาก มีทั้งเทคโนโลยีล้ำๆ หลากหลาย เช่น นวัตกรรมชำระเงิน ซึ่งไม่ใช่แค่การสแกนใบหน้า หรือ QR Code แบบเดิม แต่ล้ำไปถึงการสแกนฝ่ามือ, นวัตกรรมด้านพลังงาน ทั้ง Green Energy, หุ่นยนต์อัจฉริยะ, รถยนต์ไฟฟ้า (EV), รถยนต์พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Power) และรถยนต์บินได้ รวมทั้งมีบริษัทไฮเทคและพลังงานชั้นนำมาตั้งฐานการผลิตมากมาย
หนึ่งในนั้นคือ บริษัท Baiyun Power Group ผู้ผลิตโซลูชั่นระบบไฟฟ้าและพลังงานสะอาดครบวงจร บริษัทก่อตั้งเมื่อปี 2531 เริ่มจากธุรกิจตีเหล็ก จากนั้นขยับมาเป็นผลิตอุปกรณ์ทางการเกษตร ก่อนจะต่อยอดสู่ธุรกิจไฟฟ้า ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตพลังงานสะอาด การส่งและกระจายกำลังไฟฟ้า ไปจนถึงสถานีชาร์จรถไฟฟ้า และพัฒนาโซลูชันสมาร์ทซิตี้ โดยปัจจุบันบริษัทมีฐานการผลิตรวม 21 แห่งใน 20 เมืองทั่วประเทศ และมีรายได้เฉลี่ยปีละ 30,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท
สำหรับนวัตกรรมไฮไลต์อยู่ที่ Vehicle-to-Grid (V2G) เป็นเทคโนโลยีการชาร์จไฟแบบสองทิศทาง ที่นอกจากจะชาร์จไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่รถ ทั้งแบบชาร์จธรรมดากระแสสลับ, ชาร์จเร็วกระแสตรง สามารถชาร์จ 100 กิโลเมตร ภายใน 1 นาที และ Supercharge ที่ชาร์จรถเทสลาให้วิ่งได้ 360 กิโลเมตร ภายใน 15 นาที ในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟสูง และแบตเตอรี่รถมีไฟฟ้าเหลือ ความสามารถของเทคโนโลยี V2G จะทำให้เราส่งไฟกลับเข้าสู่โครงข่ายไฟฟ้าหรือกริดได้ จึงช่วยให้เจ้าของรถสามารถ “สร้างรายได้” จากการขายไฟฟ้าจากรถ แถมยังลดผลกระทบให้สิ่งแวดล้อมด้วย
รถ EV ล้ำไม่พอ เปลี่ยนร่างจากรถเป็น “รถไฟฟ้าบินได้”
ยานยนต์รักษ์โลกด้วยพลังงานใหม่ เป็นอีกนวัตกรรมสำคัญที่เราได้สัมผัสจากเมืองนี้ ทั้งท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถ EV และในงานมหกรรมเทคโนโลยานยนต์ “Auto Tech Expo 2025” ที่แบรนด์ต่างๆ นำรถ EV รุ่นใหม่มาเปิดตัวอย่างคึกคัก ทั้งยังมีรถสุดล้ำอย่าง “รถไฟฟ้าบินได้” ที่พัฒนาโดยค่ายรถเสี่ยวเผิง (Xpeng) ซึ่งรถบินได้นี้ประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ ส่วนตัวรถ เป็นรถมินิแวนขนาดใหญ่ รองรับผู้โดยสารได้ 4-5 คน และเครื่องบินไฟฟ้า eVOL ที่สามารถบินขึ้นลงแบบตั้งฉาก โดยสามารถแยกออกจากตัวรถได้และบินในโหมด Low-Altitude โดยมีความเร็วสูงสุด 250-300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เบื้องต้นจะใช้ในการขนของ และบริษัทวางแผนจะทำการผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2569
ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการ หอการค้าไทยในจีน บอกว่า ประโยชน์ของรถบินได้คือ มีความแม่นยำ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะใช้พลังงานไฟฟ้า และยังประหยัดเวลา ซึ่งในไทยมีโอกาสทำได้เช่นกัน เพราะมีระบบ 5G แล้ว เพียงแต่ต้องมีความเสถียรในพื้นที่ที่จะเปิดเส้นทางบิน และแก้ไขกฎระเบียบให้รองรับชัดเจน แต่มองว่าตลาดรถบินได้เป็นตลาดเฉพาะในกลุ่มพรีเมียม

ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการ หอการค้าไทยในจีน
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัว “หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์” ที่สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำคล้ายมนุษย์ ปัจจุบันเริ่มนำมาใช้ในการหยิบจับอะไหล่ในโรงงานแล้ว และอนาคตจะสามารถนำไปใช้แนะนำสินค้าในโชว์รูม รวมถึงใช้ดูแลผู้สูงอายุหรือเลี้ยงเด็กได้ โดยในปี 2569 จะเริ่มจำหน่ายเชิงพาณิชย์ และในปี 2573 หวังว่าจะมียอดขาย 100 ล้านตัว
นวัตกรรมโซลาร์ลอยน้ำ สร้างความยั่งยืนให้ชุมชน-พลังงาน
จากกวางโจว เรานั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงประมาณ 3 ชั่วโมงสู่เมืองซัวเถา ซึ่งในอดีตเป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของมณฑลกวางตุ้ง ต่อมาได้ยกระดับเป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” เต็มรูปแบบ ทำให้เมืองเล็กๆ แห่งนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีการพัฒนาพลังงานสีเขียวหลายรูปแบบ ที่น่าสนใจคือ บริษัท Huaneng Power International, Inc. (HPI) เป็นบริษัทในเครือ Huaheng Group Co., Ltd. (CHNG) ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ผู้ผลิตไฟฟ้าหลักของรัฐและยังเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่อันดับ 2 ของจีน ด้วยกำลังผลิตไฟฟ้า 297 ล้านกิโลวัตต์ (ข้อมูลในเดือนต.ค. 2568) โดยมีสัดส่วนพลังงานสูงถึง 49% ครอบคลุมทั้งพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานนิวเคลียร์และชีวมวล
นอกจากการผลิตพลังงานสีเขียว อีกความน่าสนใจของ HPI คือ การผลิตไฟฟ้า Floating Solar Farm ที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลกวางตุ้ง หรือฟาร์มโซลาร์ลอยน้ำ บนพื้นที่ 500 ไร่ โดยติดตั้งแผงโซลาร์บนผิวน้ำขนาดใหญ่ แทนการติดตั้งบนหลังคาบ้านเรือนทั่วไป และใช้พื้นที่ใต้แผงโซลาร์สำหรับเลี้ยงปลา และปลูกสมุนไพรจีนต่างๆ ข้อดีของวิธีนี้ นอกจากการผลิตไฟได้แล้ว ยังช่วยลดอุณหภูมิน้ำและการระเหยของน้ำได้ดี จึงสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิต และทำให้เกษตรกรมีรายได้ดีขึ้นด้วย
OR เดินหน้าสู่พลังงานสีเขียว
กลับมาดูที่ไทยกันบ้าง ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR มองว่า จีนพัฒนาเรื่องพลังงานสะอาดไปไกลมาก ซึ่งไทยสามารถนำมาปรับใช้เพื่อก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยเฉพาะในเรื่องนวัตกรรมชาร์จแบตเตอรี่รถ EV เพราะไทยมีการเติบโตของรถ EV มาสักพัก จะเห็นได้ว่า สัดส่วนรถ EV มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น และอัตราการใช้งานเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 6 ชั่วโมงต่อวัน จากปีที่แล้วอยู่ที่ 4.5 ชั่วโมงต่อวัน
แต่ยอมรับว่า สำหรับการติดตั้ง Super Fast Charge ไทยอาจยังไม่เหมาะ เนื่องจากโครงสร้างระบบไฟฟ้ายังไม่รองรับ เพราะการชาร์จเร็ว ต้องใช้กำลังไฟ 800 กิโลวัตต์ต่อคัน หากชาร์จพร้อมกัน 5 คัน เท่ากับใช้สูงถึง 4 เมกะวัตต์ อีกทั้งจำนวนรถที่รองรับยังน้อย จึงมองว่ากำลังไฟ 120-180 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จ 30 นาที เป็นจุดที่สมดุลสำหรับรถ EV และระบบไฟฟ้าของไทยตอนนี้ โดยปัจจุบัน OR มีสถานีชาร์จ EV Station PluZ กระจายทั่วประเทศกว่า 3,300 หัวชาร์จ และจะเพิ่มเป็น 7,000 หัวชาร์จ ในปี 2573 ทั้งยังร่วมกับพันธมิตรติดตั้งหัวชาร์จในทำเลที่มีการใช้งาน 24 ชั่วโมง เพื่อให้ผู้ใช้รถ EV มั่นใจและไม่ต้องซื้อรถสองคัน (EV และ ICE)
นอกจากนี้ OR ยังเดินหน้าลดการใช้พลังงาน และขยะ ผ่านโครงการต่างๆ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ซึ่งปัจจุบันลดการปล่อย CO2 ได้ราว 20,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี และตั้งเป้าลดเหลือ 10,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี เพื่อก้าวไปสู่ Net Zero ภายในปี 2050
เพราะฉะนั้น ธุรกิจต่างๆ ก็สามารถเรียนรู้และนำความสำเร็จดังกล่าวมาปรับใช้ในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวในแบบที่เหมาะกับตัวเองได้เช่นกัน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตยั่งยืน
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE










