ชื่อของ ZUS Coffee แบรนด์กาแฟสัญชาติมาเลเซียอาจกำลังกลายร่าง จากม้านอกสายตาเมื่อปี 2019 ไปสู่แบรนด์กาแฟที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นอันดับต้น ๆ ของภูมิภาคอาเซียน ในปี 2025 แล้วก็เป็นได้ โดยวันนี้ ZUS Coffee มีสาขาในมาเลเซียมากกว่า 700 แห่ง และกำลังก้าวไปสู่การเติบโตในระดับภูมิภาค ทั้งการขยายสาขาอย่างรวดเร็วในประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน รวมถึง 2 สาขาในไทยเมื่อไม่นานมานี้ด้วย
เป้าหมายในปี 2025 ของ ZUS Coffee ตามการรายงานของ The Straits Time คือการเปิดตัวร้านกาแฟให้ได้อย่างน้อย 200 สาขาในประเทศที่กล่าวมาข้างต้น โดยเป็นร้านในมาเลเซีย 107 แห่ง, ฟิลิปปินส์ 80 แห่ง, สิงคโปร์ 6 แห่ง นอกจากนั้นก็จะเป็นการเปิดสาขาในไทยและอินโดนีเซียร่วมด้วย
ขณะที่จำนวนสาขาของ ZUS Coffee ในมาเลเซียได้แซงหน้า Starbucks ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2024 ที่ผ่านมา (ZUS Coffee มี 743 สาขา ส่วน Starbucks มี 320 สาขา) ซึ่งปัจจัยที่ทำให้แบรนด์เติบโตได้รวดเร็วนั้น ส่วนหนึ่งมาจากกระแสการต่อต้านแบรนด์ที่มีความเชื่อมโยงกับประเทศอิสราเอล (ในเวลานั้น Starbucks, KFC, McDonald’s และอีกหลาย ๆ แบรนด์ในมาเลเซียก็เผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไม่ต่างกัน)
จุดเริ่มต้น ZUS Coffee
การเติบโตในระดับนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเส้นทางที่ยากลำบากไม่น้อย เพราะหากย้อนไปในปี 2019 ซึ่งเป็นปีที่ ZUS Coffee เปิดตัวครั้งแรกด้วยร้านขนาด 200 ตารางฟุต (ประมาณ 18 ตารางเมตร)ในย่านใจกลางเมืองของกรุงกัวลาลัมเปอร์ เป้าหมายของแบรนด์มีเพียงการทำให้กาแฟระดับพรีเมียม รวมถึง Specialty Coffee เป็นสิ่งที่คนทั่วไปสามารถดื่มได้ทุกวัน และเลือกตั้งราคาในระดับกลาง เพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้
เอกลักษณ์ของ ZUS Coffee คือการใช้กาแฟอราบิก้าแท้จากประเทศกัวเตมาลา, เคนยาและ ปาปัวนิวกินี โดยลูกค้าสามารถปรับแต่งเครื่องดื่มได้ ตั้งแต่การเลือกเมล็ดกาแฟไปจนถึงระดับความหวาน
ในอีกด้าน ZUS Coffee เลือกที่จะพัฒนาแอปพลิเคชันที่รวมทุกอย่างไว้บนนั้น ทั้งการออเดอร์ การชำระเงินแบบ Cashless การเดลิเวอรี่ ฯลฯ โดยเชื่อว่าเทคโนโลยีที่ออกแบบมาอย่างดี และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ ยิ่งทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นในการดื่มกาแฟจากทางร้าน
อย่างไรก็ดี ในช่วงแรกของการเปิดตัว ZUS Coffee พบว่า ผู้บริโภคในมาเลเซียยังไม่เปิดรับกับการจ่ายเงินแบบ Cashless เท่าไรนัก แต่โชคชะตาไม่เท่าฟ้าลิขิต เพราะหลังจากนั้นไม่นาน Covid-19 ก็มาเยี่ยมเยือน และทำให้แอปพลิเคชันของ ZUS Coffee กลายเป็นตัวช่วยชั้นดีในการบุกตลาดช่วง Pandemic
Venon Tian ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ (COO) ของ ZUS Coffee กล่าวว่า บริษัทสามารถทำกำไรได้ภายใน 10 เดือนหลังจากเปิดตัว พร้อมบอกว่า นี่เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก เพราะความสำเร็จที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากโปรดักท์และทีมเท่านั้น แต่การอยู่ถูกที่ถูกเวลาก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ขณะที่ผลประกอบการพบว่า ในปี 2024 รายได้สุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้น 3 เท่า เป็น 37 ล้านริงกิต (ประมาณ 286 ล้านบาท) เลยทีเดียว
Venon Tian เปรียบ ZUS Coffee ว่า เป็นความภูมิใจของมาเลเซียไม่ต่างจากสายการบินแอร์เอเชีย พร้อมมองว่า พวกเขาเป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีเอกลักษณ์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่เต็มเปี่ยม ทั้งจากตัวเมนูกาแฟ และส่วนผสมที่มาจากท้องถิ่น
อัปเดทเมนูใหม่ตลอดเวลา
การมีแอปยังช่วยให้ ZUS Coffee เข้าใจพฤติกรรมการดื่มกาแฟของลูกค้ามากขึ้น ว่าชื่นชอบรสชาติแบบใด และใช้ข้อมูลเหล่านั้นในการพัฒนากาแฟเมนูใหม่ ๆ ตลอดจนนำไปปรับปรุงเมนูเดิมให้ดีขึ้นด้วย โดยมีเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Ice Shaken Osmanthus Orange Espresso, Sakura Rose Frappe และ Cheese Crème Latté เป็นตัวชูโรง
ด้าน Terence Ho ผู้ก่อตั้ง และหัวหน้าบาริสต้าที่มีประสบการณ์จากสตาร์บักส์ เคยกล่าวให้สัมภาษณ์ว่า หัวใจของ ZUS Coffee คือบาริสต้าโดย Ho ขยายความประโยคนี้ว่า ถ้าบริษัทดูแลบาริสต้าดี และรักบาริสต้าของตนเองมากพอ บาริสต้าก็จะตอบแทนด้วยการดูแลกาแฟ แบรนด์ และลูกค้าให้ ZUS Coffee อย่างดีเช่นกัน
ส่วนการไปเปิดตัวในประเทศต่าง ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ นั้น ZUS Coffee ได้มีการพัฒนากาแฟสูตรใหม่สำหรับเจาะตลาดนั้น ๆ ด้วย เช่น Spanish Latte, ZUS Gula Melaka และ Velvet Creme Latte สำหรับชาวฟิลิปปินส์ พร้อมตั้งราคาอยู่ที่ 65 – 95 เปโซ (ประมาณ 36 – 53 บาท) โดยบอกว่าเป็นราคาที่เข้าถึงได้สำหรับชาวฟิลิปปินส์ (ปัจจุบัน ZUS Coffee มีสาขาในฟิลิปปินส์ 120 แห่ง)
ส่วนในประเทศไทย เพิ่งมีการเปิดตัว ZUS Coffee อย่างเป็นทางการไปสองสาขาในย่านอารีย์ และเซ็นทรัลพาร์ค อย่างไรก็ดี ใน IG ของทางแบรนด์พบว่าได้ประกาศพื้นที่ของสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ยิ่งเจริญสแควร์ เซ็นทรัลเวสต์เกต ยูไนเต็ดเซ็นเตอร์สีลม เป็นต้น
View this post on Instagram
จากเส้นทางของ ZUS Coffee ปฏิเสธไม่ได้ว่า วันนี้ พวกเขาประสบความสำเร็จกับการเป็น “มากกว่าร้านกาแฟ” แล้วก็ว่าได้ อีกทั้งกระแสตอบรับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศที่พวกเขาไปเติบโต การขยายสาขา และการใช้แอปพลิเคชัน (ที่ไม่เพียงถูกใจผู้บริโภค แต่ยังเป็นแหล่งรวมข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคให้แบรนด์กลับมาพัฒนาโปรดักท์ได้อย่างต่อเนื่อง) กำลังเป็นสูตรสำเร็จที่ยากจะเกิดขึ้นได้ในวันที่โลกกำลังเต็มไปด้วยความขัดแย้ง และการแย่งชิงผลประโยชน์
สิ่งที่ต้องติดตามต่อไปของ ZUS Coffee จึงอาจเป็นเรื่องของ “ความยั่งยืน” ว่าความแปลกใหม่ที่พวกเขานำมาใช้เป็นจุดขายให้กับเมนูกาแฟนี้ จะสามารถทำให้ ZUS Coffee แตกต่างและเติบโตในระดับภูมิภาคได้จริงหรือไม่







