HomeBig Featuredคุยกับ “ทานตะวัน ธีระโกเมน” ทายาท MK  เบื้องหลังบุฟเฟ่ต์แห่งปี 299 บาท ปรากฏการณ์เสิร์ฟเนื้อ 100 ตันไม่พอ จนต้องขนส่งทางเครื่องบิน

คุยกับ “ทานตะวัน ธีระโกเมน” ทายาท MK  เบื้องหลังบุฟเฟ่ต์แห่งปี 299 บาท ปรากฏการณ์เสิร์ฟเนื้อ 100 ตันไม่พอ จนต้องขนส่งทางเครื่องบิน

แชร์ :

ท่ามกลางสมรภูมิธุรกิจร้านอาหารที่ดุเดือด โดยเฉพาะ “ศึกหม้อต้ม” ที่กำลังระอุด้วยผู้เล่นหน้าใหม่และเก่าที่ต่างช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง MK Restaurants แบรนด์สุกี้ที่ยืนหยัดมานานร่วม 4 ทศวรรษ ได้ปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญ เพื่อชิงชัยในสังเวียนนี้อย่างเต็มตัว ด้วยการเปิดตัวแคมเปญสุดร้อนแรงที่สั่นสะเทือนวงการ ซึ่งไม่ใช่แค่การปรับราคา แต่เป็นการพลิกโฉมประสบการณ์พร้อมสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดสุกี้เมืองไทยครั้งใหญ่

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

เบื้องหลังการขับเคลื่อน MK สู่ยุคใหม่อยู่ภายใต้การกุมทัพของ “คุณทานตะวัน ธีระโกเมน” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ทายาทรุ่น 2 ที่ใช้เวลาถึง 12 ปีฝังตัวในตำแหน่งเล็กๆ ก่อนก้าวขึ้นมารับบทบาท “แม่ทัพ” บริหารธุรกิจหมื่นล้าน ที่ต้องเผชิญสมรภูมิการแข่งขันร้านอาหาร โดยเฉพาะในเซกเมนต์ “สุกี้-ชาบู” ที่ดุเดือดที่สุดยุคหนึ่ง กับภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนและปรับโฉมธุรกิจเอ็มเคให้สอดรับกับสภาพตลาดที่มีการแข่งขันสูง เพื่อนำพาแบรนด์ก้าวสู่ยุคใหม่

 

 

เส้นทาง 12 ปี คลุกคลีหลังบ้าน สู่ตำแหน่ง “แม่ทัพ” คนใหม่กุมอาณาจักรหม้อต้มเบอร์ 1 เมืองไทย

คุณทานตะวัน ฉายภาพเส้นทางการทำงานบนถนนสายธุรกิจของตัวเองให้ Brand Buffet ฟังว่า ปีนี้เป็นปีที่ 12 ที่อยู่ MK มา  โดยก่อนหน้าจะเข้ามาทำงานในบริษัทของผู้เป็นพ่อ โดยคุณทานตะวันเคยทำงานในส่วนขอฝ่ายการตลาดให้บริษัทอื่นๆในสายธุรกิจอาหารมาก่อน ทำได้ 2 ปี ไปเรียนต่อ จากนั้นจึงกลับเข้ามา เข้ามารับตำแหน่งการตลาดให้กับ MK โดยเริ่มจากตำแหน่งเล็กๆก่อน

“ส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ จึงเลือกทำงานในสายการตลาดแม้จะจบด้านเศรษฐศาสตร์มา การทำงานด้านการตลาดสนุก ไม่ซ้ำ ตั้งแต่เลือกออกพื้นที่เอง ไปหาลูกค้าเอง ทำวิจัยต่างๆ ออกกองเอง ซึ่งการตลาดถือเป็นส่วนงานที่สามารถทำจบกระบวนการเองตั้งแต่ต้นจนจบซึ่งถือเป็นงานที่ได้ทำด้วยตัวเอง ทำให้ชื่นชอบเป็นพิเศษ และอยู่ในสายงานนี้มาตลอด”

จากนั้นจึงเริ่มค่อยๆขยับตำแหน่งมาเรื่อยๆ หลังได้ทำงานร่วมกับหลายฝ่าย ตั้งแต่การทำระบบโอเปอเรชั่น ครัวกลาง พบปะลูกค้า ซึ่งเป็นการค่อยๆสั่งสมประสบการณ์ก่อนขึ้นรับหน้าที่ฝ่ายบริหารอย่างจริงจัง ทำหน้าที่กุมทัพใหญ่ MK บริหารจัดการองค์มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท กับจำนวนพนักงานกว่า 20,000 ชีวิต ที่เธอบอกว่าทุกคนล้วนคือครอบครัว และวัฒนธรรมองค์กรของ MK คือการดูแลทุกคนให้อยู่ดีมีสุขมากที่สุด

ก้าวแรกของการขึ้นมานำทัพ จึงเป็นการนำประสบการณ์ที่ฝังตัวทำงานในองค์กรตลอดช่วง 12 ปีที่ผ่านมา  มาใช้ให้่เกิดประโยชน์มากที่สุด โดย “คุณทานตะวัน” พบการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรหลายอย่าง เจ้าตัวค่อยๆเรียนรู้การทำงานหลายๆอย่าง แม้จะคลุกคลีกับแบรนด์ MK มาตั้งแต่เล็กจนโต แต่เมื่อมาทำงานจริงกลับพบว่า การทำร้านอาหารหลายอย่างมีรายละเอียดยิบย่อยมาก ตั้งแต่หลังบ้าน หน้าบ้าน ละเอียดอ่อนทั้งเรื่องคนเรื่องระบบ ภายใน ภายนอก จึงเป็นเรื่องที่โชคดีหลังเข้ามาสั่งสมประสบการณ์ในตำแหน่งเล็กๆก่อน ทำให้ไม่กดดันและทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

“ที่นี่โชคดี แบรนด์เราอยู่มา 39 ปี ทุกๆ ตำแหน่งมี Expert ทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราก็เป็นเหมือนน้องใหม่ที่เราเรียนรู้จากรุ่นพี่เราได้แล้วกันค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องของในครัวเอง ในไลน์โปรดักชันต่างๆ ทำให้เราค่อยๆเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จากเรื่องการตลาดอย่างเดียวก็กลายเป็นเรื่องการพัฒนาสินค้า การผลิต เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า กลายเป็นเรื่องที่ Step by Step เราก็ค่อยๆเรียนรู้ไปพร้อมกัน

ปัจจุบันแม้ MK จะครองตำแหน่งเบอร์หนึ่งในตลาดหม้อต้ม แต่ “คุณทานตะวัน” มองว่าโจทย์สำคัญคือ “ลูกค้าแต่ละยุคไม่เหมือนกัน สูตรสำเร็จที่ใช้เมื่อวานอาจไม่เวิร์คกับวันนี้” เพราะฉะนั้นการนำองค์ความรู้ในอดีตที่สั่งสมมาตลอด 39 ปี มาปรับใช้ในการดำเนินกลยุทธ์นับเป็นข้อได้เปรียบ   โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ความต้องการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วตลอดเวลา เรามี Learning Curve ตลอดเวลา MK จึงใช้ทั้ง Hard Data และ Soft Data ตั้งแต่ยอดขาย พฤติกรรมลูกค้า จนถึงข้อมูลหลังบ้าน เพื่อปรับสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนตลอดเวลา “หม้อแดง-หมี่หยก-เป็ดย่าง-ติ่มซำ” ยังเป็นแกนหลักของแบรนด์ แต่จะถูกนำเสนอในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น

 

“หม้อแดง- หมี่หยก-เป็ดย่าง-ติ่มซำ” ถือเป็นหนึ่งใน Asset ของแบรนด์และเป็น Core หลักของแบรนด์ แต่จะมีการปรับรูปแบบการนำเสนอ หรือการนำ Asset เหล่านี้มา Utilize เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด โดยเฉพาะลูกค้าเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ ให้เข้าถึงได้”

 

เบื้องหลังบุฟเฟ่ต์สนั่นเมือง MK Buffet 299 บาท/คน ปรากฏการณ์สต็อกเนื้อวันเดียว 100 ตัน (ไม่พอ)

หนึ่งในแคมเปญสุดฮือฮาและสร้างปรากฏการณ์แห่งปีคงหนีไม่พ้น บุฟเฟ่ต์ 299 บาท หรือ “คุ้ม คุ้ม อิ่มไม่อั้น 299 บาท” ที่จัดต่อเนื่องตั้งแต่มิถุนายน – สิงหาคม 2568 เป็นเวลา 3 เดือน ส่งผลให้ยอดขายของ MK Restaurants เติบโต 5% และเฉพาะสาขาที่ร่วมโปรโมชั่นนี้เติบโต 33% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ รวมกว่า 1.7 ล้านคน ทั้งกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้มา MK นานกว่า 6 เดือน กลุ่มลูกค้าปัจจุบันมาบ่อยขึ้น จนต้องลากยาวไปถึงสิ้นปี

คุณทานตะวัน เล่าเบื้องหลังความสำเร็จนี้ว่า ตลาดบุฟเฟ่ต์เป็นตลาดที่เราติดตามมาโดยตลอดตั้งแต่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่บุฟเฟ่ต์เข้ามาในเมืองไทยและได้รับความนิยม ซึ่งทางแบรนด์จับตาดูในทุกเทียร์ของราคาบุฟเฟต์ตั้งแต่พรีเมี่ยม ลักชัวรี่ บุเฟ่ต์โรงแรม ร้านอาหาร แม้กระทั่งหมูกระทะ

“เราเห็นโอกาสในตลาดอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้ฟอร์แมทซ์ของ MK ตอบโจทย์ลูกค้า เพราะเรามีสินค้า มีบริการที่ลูกค้าชื่นชอบแน่ๆ และเป็นจุดแข็ง แต่ว่าเราจะทำอย่างไรให้ลูกค้าเข้าถึงง่ายตอบโจทย์เขาเหล่านั้น  และตอบโจทย์ธุรกิจของเราเองด้วยไปในตัว”

ดังนั้นก่อนทำบุฟเฟ่ต์ ก็จะมีซอฟท์ล้อนซ์ทดลองทำมาก่อน อย่าง หมูมาราธอน หรือ  ซีฟู้ดมาราธอน  แม้กระทั้งร้านบุฟเฟ่ต์กลายๆ ออกมาก่อน เพื่อสำรวจหาจุดเหมาะสมทั้งเรื่องบริการและราคา กระแสผู้บริโภคตอบรับอย่างไร ตลอดจนการนำข้อมูลจากบุฟเฟ่ต์ พรีเมี่ยม ,บุฟเฟ่ต์ เอ็มเค โกลด์  ของบริษัทมีประกอบการตัดสินใจเปิดตัวแคมเปญร่วมด้วย ซึ่งเรามองว่าเราหาโอกาส หาช่องว่างที่ดีเพื่อนำเสนอสิ่งที่ถูกต้องมาให้ลูกค้า จนเกิดเป็นบุฟเฟ่ต์ 299 บาท และมีออกมาแล้ว 2 เวอร์ชั่นที่ขยายไปจนถึงสิ้นปี 2568  “อะไรที่ทำได้ดี เราทำต่อ อะไรที่มีฟีตแบ็คเราก็แก้ไข ปรับปรุง”

 

“ตอนแรกกระแสบุฟเฟ่ต์ เกินความคาดหมายมากจริงๆ แม้จะ Forecast ไว้เยอะแล้วแต่ก็ยังไม่เพียงพอ ทำให้ช่วงแรกๆจะมีสะดุดบ้างเล็กน้อย เพราะว่าปริมาณสินค้าที่จัดเตรียมไว้ แม้จะคาดการณ์ Worst Case และเผื่อไปถึง Double Worst Case คือ 10 เท่าของปริมาณปกติแล้วก็ตาม ทำให้เราต้องใช้เวลา 2-3 วันในการกู้สถานการณ์ เพื่อเพิ่มปริมาณขึ้นมา ตอนนั้นก็โชคดีที่ระบบหลังบ้านเราแข็งแรงในการ Sourcing สินค้า โดยเฉพาะเนื้อที่จากเดิมใช้วันละ 10 ตัน กลายเป็น 100 ตันในวันเดียว ถือเป็น Good Problem ของเรา”

 

อีกหนึ่งการแก้ Pain Point ให้ลูกค้าคือการสร้างทางเลือกที่หลากหลายแม้จะเป็นบุฟเฟ่ต์ แต่ทุกคนยังสามารถเลือกรับประทานสิ่งที่ชอบในราคาที่คุ้มค่า โดยที่ไม่ต้องจ่ายราคาต่อหัวแพงจนเกินไป ทำให้ทางแบรนด์แบ่งระดับราคาออกเป็นหลายระดับเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลาย  เพราะในแต่ละเทียร์ของธุรกิจอาหารมีเซกเมนต์ของตัวเองการมี บุฟเฟ่ต์ราคา 299 บาท อาจจะไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด จึงเลือกที่จะทำราคาที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้ามาทานซ้ำๆ  ซึ่งการแบ่ง Tier ลักษณะนี้หลายธุรกิจร้านอาหารมักจะมีการแบ่งอยู่แล้ว โดยในส่วนของบุฟเฟ่ต์ MK มี 4 ระดับราคาตั้งแต่

  • ราคา 299 บาท เจาะตลาดแมส ผ่านร้านสาขาที่อยู่ใน Lotus / Big C/ Home Pro และคอมมูนิตี้มอลล์ รวมกว่า 300 สาขา
  • ราคา 499 บาท ราคาเริ่มต้นของร้าน MK Premium Buffet สำหรับคนชื่นชอบ หรือ MK LOVER มีเมนู MK ซิกเนเจอร์ที่ทุกคนรัก กุ้งสด ลูกชิ้นเอ็มเค บะหมี่หยกหมูแดงและหมูกรอบ ฮะเก๋า ขนมจีบกุ้ง ทานไม่อั้นกว่า 80 เมนู
  • Premium Buffet เพียง 699 บาท เจาะกลุ่มคนชอบทานซีฟู้ดเป็นพิเศษจัดเต็มคนรักซีฟู้ดและชีส กุ้งแม่น้ำ เนื้อวากิวออสฯ บะหมี่หยกเป็ดย่าง เผือกทอด ทานไม่อั้นกว่า 100 เมนู
  • Ultimate Buffet เพียง 899 บาท  ในร้าน MK Premium Buffet รวมทุกเมนูพรีเมียม เนื้อวากิวและหอยเชลล์จากญี่ปุ่น เป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ ทานไม่อั้นกว่า 130 เมนู

นอกจากนี้ยังมีซุปให้เลือกถึง 4 รสชาติ ทุกราคาเลือกซุปได้ฟรี ทั้งแบบครึ่งหม้อและเต็มหม้อ ครื่องดื่มและของหวานกว่า 19 เมนู ทานได้ไม่อั้น เมนูทานเล่นหลากหลาย ทานได้ไม่อั้น ทั้งหมดเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า  ไม่เพียงแต่ เอ็มเค บุฟเฟ่ต์ เท่านั้น หากแต่ทางค่ายยังเปิดตัว “โบนัสสุกี้” เข้ามาเจาะตลาดเมื่อช่วงที่ผ่านมา เพื่อเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาด การซื้อที่กว้างขึ้น “เรามองตลาดมานาน เรามีแผนการสำหรับทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหยิบยกออกมาเมื่อไหร่มากกว่า”

“เราสร้าง Occasion ในการทานให้ลูกค้าได้หลากหลายขึ้น ผ่านราคาที่หลากหลายตอบโจทย์แต่ละคน แน่นอนราคา 299 บาท อาจจะไม่ตอบโจทย์ลูกค้าในหลายกลุ่มเราก็เลยแตกเทียร์ราคาขึ้นมา เพื่อสร้างโอกาสในการเข้ามาทานซ้ำและขยายฐานลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น”

ขณะที่ปีนี้คือปีที่ MK มีกิจกรรมออกมามากมาย “คุณทานตะวัน” บอกว่า ชอบทุกแคมเปญที่เปิดตัวมา แต่สิ่งที่ชอบที่สุดคือความเป็นไดนามิกของแต่ละแคมเปญที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปทุกวัน เช่น วันนี้เขาชอบแบบนี้ พรุ่งนี้อาจจะชอบอีกอย่าง และการที่แบรนด์มีตัวเลืกที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์เป็นเรื่องสำคัญ คิดว่าการมีไดนามิกและแคมเปญที่ตอบโจทย์ลูกค้าจริงๆ เป็นสิ่งที่ดี

“ที่เห็นเราออกแคมเปญมาเยอะๆ เป็นเพราะเราต้องการรองรับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย เช่น MK X เชฟแมน ก็เจาะกลุ่มหนึ่ง , แคมเปญหมี่หยกก็อีกกลุ่ม ฉะนั้นมันเลยดูเยอะ เพราะเราเลือกทำแคมเปญที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกันไป”

 

วันที่ต้องเผชิญความท้าทายของการแข่งขันธุรกิจ “ร้านอาหาร” ทำอย่างไรให้คนตัดสินใจเลือก MK

ความสำเร็จทั้งหมด “คุณทานตะวัน” บอกว่าเกิดจากการทำงานที่เป็นทีมของทั้งองกร “ที่นี่เราไม่ได้ตัดสินใจคนเดียว เราทำงานกันเป็นทีม ซึ่งแต่ละทีมจะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมา Brain Strom ร่วมกันทุกฝ่าย เพื่อให้คนผลงานออกมาดีที่สุด การมี DATA ที่ดี ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่เราก็ต้องมาระดมสมองทดลองแคมเปญต่างๆ เพราะว่าสาขาเราเยอะ หากเกิดความผิดพลาดไป ความเสียหายก็เยอะตามไปด้วย  ดังนั้นก่อนที่เราจะล็อนซ์อะไรออกไปทั้ง 400 สาขาของ MK เราจะมีการทดลองก่อนทุกครั้ง ตั้งแต่สเกลเล็กไปถึงสเกลใหญ่”

 

 

“เพราะเรามีสาขาเยอะ เราก็เลือกสักสาขาของเรามาทดลอง ว่าผลตอบรับแต่ละกิจกรรมเป็นอย่างไรบ้าง เวิร์คโฟล์วเป็นอย่างไร ถ้ากระแสตอบรับดี ลูกค้าชอบก็มาลองขยายผลว่าทำเลอื่นชอบหรือไม่ เช่น ในกรุงเทพแคมเปญนี้อาตจะเวิร์คมาก แต่ต่างจังหวัดอาจจะไม่ชอบก็ได้ก็ต้องมีการทดลองก่อน เราต้องกล้าทดลอง เพราะเราเชื่อว่า ชนะได้ แพ้ได้ เฟลได้ ทุกอย่างก็เป็นเหมือนโรงเรียนให้ทุกคนได้คิดค้นอะไรบางอย่าง”

และด้วยความที่ MK มีซิกเนเจอร์ที่แข็งแกร่งมากๆ การจะทำแคมเปญอะไรออกมาใหม่ๆ สิ่งสำคัญที่สุดก็ต้องตอบโจทย์ลูกค้า เพราะหากทำแคมเปญอะไรไป จะให้เป็นเพียงสีสันต์อย่างเดียวก็ไม่ใช่แนวทางของแบรนด์ และไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องพวกนั้น ส่วนแนวทางต่อมาคือหากแคมเปญที่ทดลองออกไปเวิร์คมีกระแสตอบรับที่ดี สเต็ปต่อไปก็ต้องมามองว่าเราจะขยายออกไปยังสาขาอื่นๆ ได้อย่างไรโดยที่ยังต้องเวิร์คเหมือนสาขาแรกที่เปิดตัว เพราะสาขาเรามีเยอะ คุณภาพ บริการก็จเป็นต้องเหมือนกัน (คุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ) เราให้ความสำคัญกับมาตรฐานคุณภาพ

 

ภาพการเปลี่ยนแปลงสู่ “MK ยุคใหม่” หลังสร้างมูฟเมนต์ในตลาดต่อเนื่อง

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของ MK ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา หลังสร้างกิจกรรมการตลาดเพื่อสื่อสารกับลูกค้ามากขึ้น พบว่า กระแสตอบรับดีขึ้นในทุกช่องทาง ที่เห็นได้ชัดคืออัตราการเข้ามาใช้บริการซ้ำ โดยเฉพาะในแคมเปญบุฟเฟ่ต์ 299 บาท พบว่าลูกค้าเข้ามาใช้บริการซ้ำถึง 31% จนถึงตอนนี้ลูกค้าก็กลับมาเยอะขึ้นกว่าเดิม ตลอดจนแพลตฟอร์มออนไลน์ก็มีการกล่าวถึงแบรนด์ MK และแคมเปญมากขึ้นเช่นกัน จากนี้ไปแบรนด์ก็ยังคงเน้นการจัดกิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเดิมทั้งบุฟเฟ่ต์ และอะลาคาร์ท ลูกค้าใหม่ก็เข้ามา โดยเน้นแวลู่มากขึ้น โดยลูกค้าใหม่ที่เข้ามาก็เด็กลงจากเดิมฐานลูกค้าหลักมีอายุ 35 ปีขึ้นไป ก็ลดลงมาที่อายุ 26 -35 ปีเยอะมากขึ้น

“ทุกแคมเปญเล่าให้คุณพ่อฟัง ตัวคุณพ่อเองก็ติดตามโซเชี่ยล มีเครือข่ายกรุ๊ปไลน์มากกว่า 600 คน ท่านรับรู้ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นข่าวสารท่านจะรับรู้ทุกอย่าง ซึ่งคุณพ่อเป็นคนที่เปิดรับมากๆ กับทุกๆอย่าง ว่าเราอยากนำเสนออะไร ทำอะไรก็ลองดู แต่ท่านจะให้มุมมองของท่าน ว่าทำแบบนี้แล้วจะเกิดอะไรมีอะไร เช่น บุเฟ่ต์ 299 บาท เราก็ปรึกษาท่าน ท่านก็บอกว่าเอาเลย ลองดู”

ส่วนร้านลำดับล่าสุดอย่าง “ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ” (Hikiniku To Come) ร้านแฮมเบิร์กสไตล์ออริจินอลจากญี่ปุ่นที่เพิ่งเปิดให้บริการสาขาที่ 2 ที่ เซ็นทรัล พาร์ค ไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา “คุณทานตะวัน” บอกว่า ใช้เวลาเพียง 5 เดือนในการเจรจา บินไปญี่ปุ่น เพื่อขอสิทธิ์ในการเข้ามาทำตลาดที่ไทยทันที โดยแบรนด์นี้เกิดจากการมองเห็นศักยภาพในการเติบโต บวกกับเมืองไทยยังไม่มีแบรนด์ลักษณะนี้มาก่อน โดยเน้นเจาะตลาดสเปเชี่ยลตี้ “เพราะถ้า Opportunity มันใช่ ตลาดมันมี เราก็ไม่ต้องรออะไร” คุณทานตะวันกล่าว

 

แบรนด์ล่าสุด ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ (Hikiniku To Come)

แผนปี 2568 สยายปีก MK และ แบรนด์ในเครือต่อเนื่อง

ขณะที่ในปีหน้า “คุณทานตะวัน” บอกว่า ปีหน้าจะต้องวิ่งให้เร็วขึ้น  เพราะร้านอาหารเมืองไทยหลายมูฟเมนต์ที่เปลี่ยนแปลงไป เรายังเห็นโอกาสและช่องว่างของตลาดอยู่ ซึ่งแน่นอนบริษัทยังมีอีกหลายแบรนด์ในเครือทั้งยาโยอิ, แหลมเจริญ , ยากินิคุ ที่พยายามจัดสรรการเติบโตต่างๆอยู่ตลอดเวลา ส่วน MK ในปีหน้า ก็จะยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ทั้งสาขาใหม่ และรีโลเคชั่นสาขาเดิม เพราะ MK ไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียวหากแต่มีหลายที่ๆ เหมาะกับแต่ละโลเคชั่น เพราะฉะนั้นเรายังมีโอกาสอีกมากในการขยายสาขาแม้จะมีแล้วกว่า 400 สาขาก็ตาม

“หลายคนบอกว่าธุรกิจร้านอาหารปีนี้ค่อนยากยาก เรามองว่าร้านอาหารก็ยากตลอดเวลา เราอยู่มา 40 ปี มีขึ้นลงหมุนเวียน ปีนี้ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่ง Cycle ของธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งถามว่ายากมั้ย ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าที่เราจะจัดการได้ เพราะในร้านอาหารมันสามารถ Move Up หรือ Move Down ได้ เช่น เมื่อก่อนเราอยู่ตรงนี้ พอพฤติกรรมเปลี่ยนไป ภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนไประยะยาว เราก็ต้องมาตัดสินใจว่าจะขึ้น หรือลง อย่างตอนนี้เองเป็นจังหวะที่เหมาะสม การจับจ่ายของประชาชนลดลง ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะจัดแคมเปญที่เน้นความเป็น Value for Money เช่น บุฟเฟ่ต์  ฯลฯ คือเรามีแผนที่เราเตรียมไว้อยู่แล้ว ขึ้นอยู่ว่าเราจะนำมาใช้จังหวะไหนก็ต้องบริหารจัดการกันไป สุดท้ายความท้าทายอาจจะอยู่ที่การที่ MK มีสาขาจำนวนมาก ความยากก็คือการต้องตัดสินใจในการปล่อยแคมเปญแต่ละครั้งที่”

ขณะที่การแข่งขันในตลาด “หม้อต้ม” ที่กำลังระอุขณะนี้ “คุณทานตะวัน” มองว่า หากมองตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่ได้ร่ำเรียนมา ก็ต้องมองเป็นเรื่องที่ดีที่การแข่งขันจะช่วยผลักดันให้ตลาดมีการเติบโต  ทำให้ตลาดใหญ่ขึ้น ถือเป็นมุมที่ดี คนให้ความสนใจก็ทำให้ร้านอาหารประเภมต้มเติบโตมากขึ้น ก็เป็นโอกาสของเราที่จะฉวยจังหวะในการสร้างการเติบโตท่ามกลางแนวโน้มดังกล่าว  

ส่วนเรื่อง “สงครามราคา” MK มองว่าไม่ได้ลงมาเล่นเรื่องนี้แต่อย่างใด หากแต่ดูว่าการจัดโปรโมชั่นแต่ละครั้งต้อง Trade Off กับอะไรบ้าง ซึ่ง MK ไม่เล่นสงครามราคาเด็ดขาด เราทำทุกอย่างตามที่ยึดมั่นมาตลอดเวลาเกือบ 40 ปี ทั้งคุณภาพ บริการ แม้จะจ่ายในราคาท 299 บาท ก็คุ้มค่า ประทับใจอย่างแน่นอน ทั้งหมดคือแกนหลักที่เราให้ความสำคัญมากกว่าการซื้อมาขายไป

 

“เราไม่เคยใช้เงินสดในมือ (มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท) นักลงทุนก็ถามว่าเก็บไว้ทำไม เราก็เก็บเอาไว้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้คาดการณ์สถานการณ์ได้ยาก ในยามลำบาก เช่น โควิดที่มากะทันหัน ถ้าเราไม่มีออะไรที่รองรับไว้เลย เราก็อาจจะพยุงตัวเองไม่ได้ เราต้องมีบางอย่างที่ทำให้ธุรกิจของเรายั่งยืนใน ซึ่งแต่ละวิกฤตมันก็มีโอกาส ถ้ามีโอกาสดีจริงๆ เงินก้อนนั้นที่เรามีเนี่ย ก็จะทำให้เราคว้าโอกาสนั้นเอาไว้ได้ ”

 

“แนวคิดที่เราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่นี่คือ ถ้าเราจะทำอะไรแล้ว มันต้องอยู่ได้ด้วยตัวเองทุกธุรกิจ เราจะไม่ทำไปแล้วกินตัวเองไปเรื่อยๆ อันนี้คือไม่แน่นอ แต่เราจะลองทำดู ทดลองทำดู ก่อนจะเปิดตัวต้องทำ Case Study ว่าแบรนด์ต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง และลูกค้าก็ต้องแฮปปี้ คือเราจะไม่เอาเงินที่เราสะสมไว้ แล้วเทเข้าไปให้ธุรกิจสามารถอยู่ได้ เราไม่ทำแบบนั้นแน่นอน ถ้าสิ่งๆนั้นไม่มีศักยภาพในการเติบโต หรือทำกำไร เราไม่ทำแน่นอน”

อีกหนึ่งจุดแข็งคือเรื่องของระบบโอเปอเรชั่น  การใช้สถาบันของตัวเองที่ใช้เทรนนิ่งพนักงานทั้ง 400 สาขาในการเทรนด์พนักงานเพื่อป้อนสาขาบุพเฟ่ต์อยู่แล้ว ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องของพนักงานในการบริการ เพราะทุกคนรู้ขั้นตอนและกระบวนการในการผลิตดีอยู่แล้ว

ต่อยอดโปรดักต์รีเทล เพราะ “ยี่ห้อเอ็มเค ไม่ต้องเล่ากันใหม่”

นอกจากธุรกิจร้านอาหาร MK ยังต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์รีเทล โดยเริ่มจาก “น้ำจิ้ม” ซึ่งเป็นสินค้าที่ลูกค้าเรียกร้องอย่างต่อเนื่อง จนได้รับกระแสตอบรับที่ดี และพันธมิตรช่องทางจัดจำหน่ายก็ต้องการสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติม ทำให้ MK พัฒนา “สุกี้ซอง 69 บาท” เจาะกลุ่มโมเดิร์นเทรดและร้านสะดวกซื้อ รวมถึง “กัมมี่” ที่เจาะกลุ่มเด็ก มียอดขายสูงถึง 4,000 ซองต่อวัน

 

 

“ยี่ห้อ MK ไม่ต้องเล่ากันใหม่ ทำให้พันธมิตรร้านสะดวกซื้อหลายรายต้องการสินค้าของเราเพิ่ม เราจึงสามารถสร้างฐานลูกค้าใน Occasion ที่แตกต่างกันได้ เน้นทานง่าย เข้าถึงง่าย ปัจจุบันสินค้ารีเทลของ MK มีสัดส่วน 5% ของรายได้ทั้งหมด”

เป้าหมายในการนำทัพ MK สู่ยุคใหม่ของทานตะวัน คือการสานต่อแนวคิดของคุณพ่อและคุณแม่ ที่ต้องการให้ลูกค้าได้รับประทานอาหารที่ดี อร่อย และมีความสุข เมื่อนึกถึงมื้ออาหารดีๆ หรือช่วงเวลาแห่งความทรงจำของครอบครัว ก็ขอให้นึกถึง MK

สำหรับการขยายสาขาต่างประเทศ เธอยอมรับว่าเป็นความใฝ่ฝันของทุกธุรกิจ แต่ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของรูปแบบ เพราะแต่ละประเทศมีพฤติกรรม รสชาติ และความชื่นชอบที่แตกต่างกัน ปัจจุบัน MK มีสาขาในญี่ปุ่น 30 แห่งที่ยังคงเปิดบริการและได้รับเสียงตอบรับที่ดี ส่วนในประเทศอื่นๆ หาก MK ไม่เหมาะสม ก็ยังมีแบรนด์ในเครือที่มีศักยภาพอื่นๆ เช่น แหลมเจริญ ที่แม้ในประเทศจะซบเซาลงบ้าง แต่ในมาเลเซียที่ขยายไปแล้ว 5 สาขา ก็ได้รับการตอบรับที่ดี

สุดท้ายเมื่อถามถึงการขยายแบรนด์ใหม่ หรือการเพิ่มแบรนด์ในเครือ เธอกล่าวว่า “การมีแบรนด์ในพอร์ตไม่เคยพออยู่แล้ว” MK ยังคงมองหาสิ่งใหม่ๆ ในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเสมอ โดยไม่ยึดติดกับสิ่งใด แต่พร้อมปรับตัว สเกลงานใหญ่ขึ้น ฟังมากขึ้น ทั้งจากข้อมูลและประสบการณ์ และทำให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน

 


แชร์ :

You may also like