HomeInsightสรุป 5 กลยุทธ์การตลาด Influencer มาแรง จับตาวิกฤติเลิกจ้าง วัย 40-50 หันยึดอาชีพครีเอเตอร์ 

สรุป 5 กลยุทธ์การตลาด Influencer มาแรง จับตาวิกฤติเลิกจ้าง วัย 40-50 หันยึดอาชีพครีเอเตอร์ 

ยุคอวสานอินฟลูเอนเซอร์ "อาจจะยังน้า" 

แชร์ :

ตลาดครีเอเตอร์ทั้งในไทยและทั่วโลกยังคงเติบโตทุกปี ข้อมูลสถิติ “Influencer Economy Worldwide” จาก Statista.com ระบุว่า มูลค่าตลาดครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกเติบโตเฉลี่ย 20-30% ต่อปี

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

โดยปี 2024  มูลค่าอยู่ที่ 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปี 2025  ตลาดครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกพุ่งแตะ 32,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

จากแนวโน้มดังกล่าว การจัดงาน “Thailand Influencer Awards 2025 by Tellscore” ภายใต้แนวคิด “Creators of Change – ครีเอเตอร์เปลี่ยนโลก พารอด” เพื่อสะท้อนคุณค่าของครีเอเตอร์ในฐานะพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย พร้อมยกระดับสู่มาตรฐานระดับภูมิภาค

ตลาดครีเอเตอร์-อินฟลูฯ ยังโต 

คุณสุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทลสกอร์ จำกัด กล่าวว่าแนวคิด “Creators of Change – ครีเอเตอร์เปลี่ยนโลกพารอด” หมายถึงครีเอเตอร์ที่ใช้พลังการเล่าเรื่องด้วยความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวก ไม่ว่าจะเป็นต่อผู้คน เศรษฐกิจ สังคม หรือแม้แต่ในช่วงเวลาของความผันผวนทางการเมืองและภัยพิบัติ ครีเอเตอร์จึงไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตคอนเทนต์เพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็น แรงบันดาลใจ แหล่งความรู้ พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ที่ทำให้ผู้คนมองเห็นโอกาสใหม่ ๆ

ปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยชะลอตัว แต่ Influencer Economy เติบโตปีละ 20-30% ต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สถานการณ์ตลาดครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ ปีนี้ยังเป็นสัญญาณบวก ดังนี้

55% ของผู้บริโภคระบุว่าส่วนลดและโปรโมชั่น ทำให้พวกเขาติดตามอินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์

82% ของแบรนด์ระบุว่าได้ผลลัพธ์ทางการตลาด เช่น  ยอดลูกค้าลงทะเบียน จำนวนคลิกเข้าร้านดีกว่าวิธีการโฆษณาหรือวิธีการทำตลาดอื่นๆ

30-40% ของคนรุ่นใหม่ระบุว่าตนเองเป็น คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ คนหนึ่ง (คนอายุ 18-24 ปี 30% และอายุ 25-34 ปี 40%)

80% ของผู้บริโภคในเอเชียที่ติดตามอินฟลูเอนเซอร์ มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าที่แนะนำโดยอินฟลูเอนเซอร์

69% ของแบรนด์ในปี 2024 เพิ่มงบ  Influencer Marketing ต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า

ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา Google รายงานว่ามีคนค้นหาคำว่า Influencer Marketing  เพิ่มขึ้น 1500%

ส่วนสิ่งที่กังวล เมื่อพูดถึง AI  คือ นักการตลาด 43.8%  กังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางจริยธรรมจากการใช้ AI เช่น Generative AI ในการทำ Fake Content หลอกลวงประชาชน

อย่างไรก็ตามหากดูนิยาม Human Creators ทั้ง 3 กลุ่มจะมีความใกล้เคียงกัน

– Content Creators  :  หมายถึง ผู้ผลิตคอนเทนต์เพื่อลงโซเชียลมีเดียเป็นประจำ จนมีผู้ติดตาม สร้างรายได้จากการผลิตคอนเทนต์ เช่น ทำคลิปท่องเที่ยว รีวิวสินค้า

– Influencers :  หมายถึง ลงคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดีย เป็นประจำจนมีชื่อเสียง ส่วนใหญ่มักมีบุคลิกชัดเจน สร้างรายได้จากการเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เช่น โปรโมทสินค้าแบรนด์ต่างๆ ผ่านคอนเทนต์ การเป็นพรีเซนเตอร์ การปรากฎตัวในอีเวนต์ต่างๆ

– eCommerce Sellers  :  นักขายออนไลน์ หมายถึง ผู้ลงคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียเป็นประจำ มีทักษะเชียร์ขายของ มีเป้าหมายปิดการขาย มีความถนัดในการส่งเสริมการขายสินค้า มักสร้างรายได้จากค่านายหน้า (%จากยอดขาย)

เห็นได้ว่าสิ่งที่เหมือนกัน คือ  1. ผลิตคอนเทนต์ลงโซเชียลมีเดีย 2. มีผู้ติดตามจำนวนมาก 3. หนึ่งคนอาจมีความถนัดมากกว่า 1 นิยาม

ดังนั้นก้าวต่อไปของ “คอนเทนต์ ครีเอเตอร์” ที่โดดเด่นด้านการทำคอนเทนต์ การสื่อสารกับผู้คน สามารถต่อยอดความสามารถด้านการทำบริษัทเอนเตอร์เทนเมนต์  ส่วน “อินฟลูเอนเซอร์”  อาจก้าวไปทำบริษัทสื่อ จัดสัมมนา จัดงานแฟร์ จัดทอล์ก  และ นักขายออนไลน์  สามารถก้าวไปทำธุรกิจเป็นสร้างแบรนด์เป็นเจ้าของสินค้าได้

หากเปรียเทียบ Human Creators  และ AI Creators จะมีข้อดีแตกต่างกัน

ข้อดีของมนุษย์  (Human Creators) 

1. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)

2. ความไว้วางใจและความซื่อสัตย์ (Trust & Integrity)

3. ความลึกซึ้งทางอารมณ์ (Emotional Depth)

4. การเชื่อมต่อของมนุษย์ (Human Connection)

5. การเล่าเรื่อง (Storytelling)

ข้อดีของ AI Creators

1. ความรวดเร็วและปริมาณงานจำนวนมาก (Speed & Volume)

2. การใช้ข้อมูล (Data Utilization)

3. ความสม่ำเสมอ (Consistency)

4. ประสิทธิภาพด้านต้นทุน (Cost Efficiency)

5. การเข้าถึงหลากหลากภาษา (Multilingual Reach)

ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทไปถึงระดับ Autonomous (Agentic AI) ทำให้ AI Creators สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง เช่น จัดโปรโมชั่น รู้สินค้าในสต็อก คุยกับผู้คนและตัดสินใจได้

อนาคตของ Human Creators  และ AI Creators จะดูที่ “ปัจจัยการไว้วางใจ”  (Trust Factors) ใครที่ได้ความไว้วางใจจากผู้บริโภคจะมีสิทธิมากกว่า ดังนั้น “ครีเอเตอร์” ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ เพราะจะเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในยุคนี้ และใช้ AI ให้เป็นประโยชน์

อวสานอินฟลูเอนเซอร์ “อาจจะยังน้า” 

จากกระแสการพูดถึงยุคอวสานอินฟลูเอนเซอร์ คุณสุวิตา ให้มุมมองแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นดังนี้

1. อินฟลูเอนเซอร์ยุคนี้ มีความท้าทายมากขึ้น เพราะเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง จึงมีทั้งคนที่ไปรอด ซึ่งมีจุดเด่นด้านความคิดสร้างสรรค์ในการทำคอนเทนต์ และคนที่ไปไม่รอด  จากเดิมในยุคแรกที่ใครเข้ามาก็รอดเพราะตลาดขนาดเล็ก ดังนั้นยุคนี้คนที่เก่งยังไปต่อได้  โดยเฉพาะคอนเทนต์ ครีเอเตอร์ ด้านรีวิวยังเติบโตได้  เพราะมีความน่าเชื่อถือ

2. การ Live ขายของ AI จะมาแทนอย่างจริงจัง เพราะทำได้ 24 ชั่วโมง ครีเอเตอร์เองไม่สามารถทำได้ทั้งวัน  ทางรอดคือการ “อยู่ร่วมกับเอไอ” อย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง AI Avatar ของตัวอินฟลูเอนเซอร์เองเพื่อทำคอนเทนต์สั้นๆ สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง หรือใช้ AI เป็นแรงเสริมในการสร้างแบรนด์ แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องสื่อสารอย่างโปร่งใส ระบุชัดเจนว่าเป็นคอนเทนต์จาก AI เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคสับสน ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณค่าและความน่าเชื่อถือในสายตาแบรนด์และผู้ติดตาม ถือเป็นการใช้เครื่องมือ AI ที่ชาญฉลาดและมนุษย์ไม่แพ้

พิษเลิกจ้าง วัย 40-50 หันยึดอาชีพครีเอเตอร์ 

ปี 2024  เป็นปีที่ “คอนเทนต์ ครีเอเตอร์” ทั่วโลก หันมาเป็น Full time คอนเทนต์ ครีเอเตอร์มากขึ้นเป็นประวัติการณ์ หนึ่งในเหตุผลหลักคือการ Lay off จากบริษัทยักษ์ใหญ่และบริษัทเทคโนโลยี

แนวโน้มปี 2025 ในประเทศไทยพบว่ามีหลายอุตสาหกรรมมีโครงการ Early Retirement โดยเริ่มที่อายุ 45 ปีขึ้น  ปีนี้จึงมีคนทำ Full time ครีเอเตอร์เพิ่มขึ้นอีก จากปัจจัย “คนตกงาน”  จึงทำฟรีแลนซ์ อาชีพแรกที่คนยึดหัวหาด คือ ครีเอเตอร์

พบว่า “ครีเอเตอร์หน้าใหม่” ที่เข้ามาเยอะขึ้นในปีนี้ เป็นคนวัย 40-50 ปี จากการเลิกจ้าง เป็นการตกงานภาคบังคับ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความรู้ความสามารถ เมื่อยังหางานใหม่ไม่ได้ จึงมาทำคอนเทนต์ เล่าประสบการณ์ผ่านช่องทางของตัวเอง เป็นคอนเทนต์ที่น่าสนใจมาก

สำหรับ 3  กลุ่มครีเอเตอร์มาแรง หรือกลุ่มที่มีเม็ดเงินเข้ามาจำนวนมาก ดังนี้  

1. Pet  จากการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมสูงวัย ทำให้กลุ่ม Pet Parent เติบโต มีการใช้จ่ายดูแลสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้า

2. News Creator สายนักข่าว คอนเทนต์สรุปข่าว เล่าเรื่อง วิเคราะห์ข่าว เพราะผู้บริโภคต้องการความคิดเห็น เพราะยังไม่เชื่อข่าวจาก AI Creator

3. Longevity  การดูแลสุขภาพให้มีชีวิตยืนยาว เป็นเทรนด์ที่เติบโตต่อจากสายสุขภาพและสังคมสูงวัย

ส่วนคอนเทนด์กลุ่มเดิม ไม่ว่าจะเป็น  ความงาม สุขภาพ ท่องเที่ยว การเงิน ยังเป็นคอนเทนต์ยอดนิยม แต่ครีเอเตอร์ต้องสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ๆ ไม่ใช่รูปแบบเดิม เพราะผู้ชมแต่ละ Gen ต้องการคอนเทนต์แตกต่างกัน

การทำคอนเทนต์ในยุคที่การแข่งขันสูง “ครีเอเตอร์” ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ยืนระยะให้นาน อย่ายอมแพ้ แม้ต้องเจอปัจจัยลบเศรษฐกิจไม่ดี  พร้อมหาโอกาสจากน่านน้ำใหม่ๆ  การทำสินค้าเมอร์เชนไดส์  จัดแฟนมีต เพื่อสร้างช่องทางหารายได้นอกจากการทำคอนเทนต์ 

5 กลยุทธ์ครีเอเตอร์เปลี่ยนโลก “พารอด”  

1. เทรนด์สำคัญในปีนี้เพื่อรับมือกับ AI คือกลยุทธ์การทำ Branding via Creators มีความสำคัญมาก ที่ไม่ใช่แค่การสร้างความแตกต่าง แต่ต้อง “บอกเล่าอย่างมี Human Connection” ว่าแบรนด์นำเสนออะไร สร้างคุณค่าด้านใดให้ผู้บริโภค “อินฟลูเอนเซอร์-ครีเอเตอร์” ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ เปลี่ยนผู้ติดตามเป็นคอมมูนิตี้ ที่แบรนด์สามารถสื่อสารได้ตลอดเวลา

2. Role of Influence การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ในยุคนี้ ต้องเลือกตาม “บทบาท”  ที่เหมาะสมกับบทสนทนาของแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย  เช่น กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ผู้ให้ความบันเทิง ให้แรงบันดาลใจ

3. กลยุทธ์ B2B  คนมีหลายบทบาท ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาระดับ CEO CMO  ชีวิตส่วนตัวก็มีบทบาทเป็นคุณพ่อ คุณแม่ของครอบครัว จึงเสพคอนเทนต์หลากหลาย ทั้ง ข่าว กีฬา บันเทิง เช่นกัน  คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ สามารถทำคอนเทนต์ที่โน้มน้าวกลุ่มผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทใด

4. การไม่พึ่งพาอัลกอริธึมอย่างเดียว เพราะยุคนี้อินฟลูเอนเซอร์-ครีเอเตอร์จำนวนมากไม่ได้พึ่งพาการทำคอนเทนต์เพื่อหารายได้เพียงอย่างเดียว แต่ออกนอกโซเชียลมีเดีย ไปจัดงานทอล์ก คอนเสิร์ต เวิร์คชอป อีเวนต์ งานแฟร์ เชื่อมโยงกับคอมมูนิตี้ของตัวเองด้วย กลยุทธ์ O2O Marketing (Online-to-Offline)  โดยมีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมากหลักพันหลักหมื่นคน ทำให้แบรนด์ดิ้งแข็งแรงและเชื่อมโยงกับผู้ติดตามได้ลึกกว่าเดิม ถือเป็นจุดเด่นของตลาดอินฟลูเอนเซอร์ไทยที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ

5. กลยุทธ์สร้าง Subculture คอนเทนต์  ไม่ว่าจะเป็น ครีเอทีฟคอนเทนต์, แฟชั่น ไลฟ์สไตล์,  CreatorPreneur (ครีเอเตอร์+ผู้ประกอบการ)  ปัจจุบันเป็นยุค Media fragmentation ช่องทางในการเสพสื่อมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก คอนเทนต์มี Subculture หลากหลายความสนใจ รวมทั้งแพลตฟอร์มเฉพาะกลุ่ม (Niche) เพิ่มขึ้น

ในยุคนี้จำนวน “ผู้ติดตาม” ของ คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ จะไม่ใช่หลัก 5-10 ล้านผู้ติดตามเหมือนเดิม แต่จะเป็นกลุ่มอินดี้ เฉพาะกลุ่มมากขึ้น  “แบรนด์” เองไม่ได้มองจำนวนผู้ติดตามหลักล้านเสมอไป บางแคมเปญเลือกใช้ “ไมโคร อินฟลูเอนเซอร์” จำนวนมาก เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเฉพาะ  ถือเป็นโอกาสของ ครีเอเตอร์หน้าใหม่ ที่ทำคอนเทนต์เฉพาะกลุ่ม

จับตา Lemon8 และ XiaoHongShu แพลตฟอร์มมาแรง

ด้านภูมิทัศน์แพลตฟอร์มออนไลน์ TikTok ยังคงมาแรงต่อเนื่อง ขณะที่ YouTube พลิกเกมด้วย Long-form Content ตลอดจนจับมือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรุกตลาด Social Commerce  และ Instagram ยังคงเหมาะกับคอนเทนต์ Trend Setter โดยเฉพาะฟอร์แมตคอนเทนต์ประเภท  Story ที่สร้าง Engagement ได้สูง

ส่วนแพลตฟอร์มน่าจับตาคือ Lemon8 ที่ถูกใจ Gen Z ด้วยรูปแบบคอนเทนต์ง่ายและเร็ว และ XiaoHongShu ซึ่งกำลังเติบโตในไทยและอาเซียน ครีเอเตอร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษและจีนได้จะมีโอกาสขึ้นแท่นผู้ชนะ

โอกาสใหม่ที่น่าสนใจคือ กลุ่มครีเอเตอร์ LGBTQ+ ในบริบท Rainbow Economy ซึ่งสะท้อนสังคมที่เปิดกว้างและยอมรับความหลากหลายชูจุดเด่นของประเทศไทย แบรนด์ที่ร่วมงานกับครีเอเตอร์กลุ่มนี้ไม่เพียงได้ประโยชน์เชิงธุรกิจ แต่ยังสร้าง Emotional Bonding และความเชื่อมั่นกับผู้บริโภค Gen Z และ Millennials ที่ให้ความสำคัญกับ Trust, Authenticity และ Inclusion

ตลาดครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ยังเติบโตได้ แม้เศรษฐกิจโลกจะผันผวน แต่การเติบโตจะไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ครีเอเตอร์และแบรนด์ต้องปรับตัว มองทั้ง Geopolitics ระดับโลกและโอกาสในภูมิภาค โดยเฉพาะอาเซียน และควรเริ่มสร้างคอนเทนต์ภาษาอังกฤษหรือจีนเพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ เพราะความต้องการเปลี่ยนเร็วมาก จาก Awareness ไป Conversion และ KPI ที่ซับซ้อนหลากหลายขึ้น “ใครปรับตัวได้คือผู้ที่จะอยู่รอด” 

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE


แชร์ :

You may also like