หลังจาก คุณอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เปิดตัว คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ นักบริหารมืออาชีพ ให้เข้ามานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
วันที่ 12 กันยายน 2568 คุณศุภจี ได้แจ้งลาออกจากตำแหน่งกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) แล้ว พร้อมแถลงข่าวเปิดใจการถูกทาบทามให้มาอยู่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ดูแลกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีโอกาสได้ทำงานให้รัฐบาล
การตัดสินใจรับตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ มี 2 เหตุผล
1. วันนี้ประเทศไทยกำลังเจอความท้าทายอย่างมาก ไม่สามารถอยู่ในช่วงสูญญากาศได้ จะต้องมีคนที่เข้ามาช่วยเรื่องปากท้องประชาชน การดูแลภาพรวมเศรษฐกิจ จึงต้องการนำความรู้จากประสบการณ์การทำงานหลากหลายตลอดเวลากว่า 30 ปี มาสร้างประโยชน์
เริ่มตั้งแต่ประสบการณ์จาก IBM ซึ่งในช่วง 7 ปีสุดท้ายของ IBM ทำงานต่างประเทศ ที่สำนักงานใหญ่ นิวยอร์ก สหรัฐ จึงเห็นเศรษฐกิจมหภาค ด้านการวางนโยบายทำงาน และมีโอกาสติดต่อกับองค์กรต่างประเทศจำนวนมาก ช่วงที่ทำงาน “ไทยคม” ได้นำงานกับพาร์ทเนอร์ต่างชาติ รวมทั้งเป็นกรรมการ ธนาคาร ก็เห็นภาพเศรษฐกิจมหภาคของไทย
คิดว่าประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา น่าจะมีโอกาส ช่วยเรื่องงานด้านต่างประเทศให้กับรัฐบาล เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยเดินไปข้างหน้าได้ เพราะหากสนใจด้านลดค่าใช้จ่ายอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องเดินหน้านโยบายสร้างรายได้ด้วย จึงต้องการเข้ามาช่วยเรื่องการเปิดตลาดต่างประเทศ การเจรจากับคู่ค้าในต่างประเทศ รวมทั้งการค้าในประเทศ เพื่อมองหาศักยภาพ อัตลักษณ์ใหม่ๆ ของประเทศ เพื่อต่อยอดสร้างรายได้ให้ประเทศและคนไทย
2. ระยะเวลาทำงานรัฐบาลสั้น 4 เดือน หากรวมรักษาการช่วงเลือกตั้งใหม่รวมเป็น 7-8 เดือน จึงตัดสินใจมารับตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ ได้ง่าย โดยจะนำประเด็นสำคัญมากทำก่อน เพื่อให้เห็นผลโดยเร็ว แต่จะวางรากฐานไว้สำหรับการทำงานต่อไปด้วย
การทำงานที่ผ่านมา เป็นคนที่ชอบทำงานกับคน เพราะงานทุกประเภทขับเคลื่อนด้วยคน จึงพร้อมทำงานกับข้าราชการในกระทรวง รวมทั้งทีมเศรษฐกิจที่ประกอบด้วยหลายส่วน ทั้งกระทรวงการคลัง พลังงาน ต่างประเทศ ดังนั้นการที่เป็นคนชอบทำงานกับคน มีความตั้งใจจะหาพันธมิตรที่จะร่วมทำงานไปข้างหน้า เพื่อไปได้ไกลและไปได้เร็ว
“คนเราไม่ต้องรอให้รู้ร้อยเปอร์เซ็นต์ถึงลงมือทำ แต่ขอให้ทำร้อยเปอร์เซ็นต์ในสิ่งที่เรารู้และหาธงร่วมให้ได้ว่า ธงร่วมของเราคืออะไร ตอนที่ทำงานดุสิตธานี คือ ทำให้เติบโตและเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง ตอนนี้มีธงใหม่ คือ ทำให้ประเทศแข็งแรง และสามารถกลับมายืนได้ในระยะเวลาอันสั้น ถ้าคนทำงานมีธงเดียว เราไม่ต้องรอให้รู้ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วทำ แต่เราทำร้อยเปอร์เซ็นต์ในสิ่งที่เรามี”
การทำงานให้ประเทศจึงต้องวางลำดับความสำคัญให้ดีว่า 4 เดือนข้างหน้า จะนำเรื่องอะไรมาทำก่อน แต่นโยบายต่างๆ ต้องรอหลังโปรดเกล้าฯ และต้องหารือร่วมกันกับคณะรัฐบาลว่ามีธงอะไรที่จะทำเป็นนโบบายเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าร่วมกัน
สรุปผลงาน 9ปี ซีอีโอดุสิตธานี
สำหรับผลงานการบริหารธุรกิจกลุ่มดุสิตธานี ในฐานะซีอีโอ ได้ตามแผนลงทุนกลยุทธ์ 9 ปี (2559-2568) เรียบร้อยตามเป้าหมาย
1. ช่วงสร้างฐาน (2559-2561) ช่วง 3 ปีแรก โฟกัสการสร้างคน วัฒนธรรมองค์กร การพัฒนาทักษะพนักงาน ยกระดับศักยภาพของแบรนด์ “ดุสิตธานี” ให้ตอบโจทย์ทุกเซกเมนต์
2. ช่วง Take Off (2562-2565) ขยายการเติบโตทั้งธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการศึกษา และขยายสู่ธุรกิจอาหาร ด้วยการจัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด รวมถึงการเดินหน้าลงทุนบิ๊กโปรเจกต์ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use) มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท (ล่าสุดเปิดดำเนินการแล้ว)
3. ช่วง Unlock Value (2566-2568) เป็นช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโตจากการลงทุนไปก่อนหน้านี้ ทั้งจากธุรกิจโรงแรม จากปี 2559 มีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบัน ณ ไตรมาสแรกปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารจัดการรวม 294 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง ใน 18 ประเทศ เป็นโรงแรม 55 แห่งและวิลล่าหรู 239 แห่ง
ในปี 2568 จะรับรู้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เต็มปี หลังจากเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 ไตรมาส 4 ปีนี้รับรู้รายได้จากการโอนโครงการ Dusit Residences
รวมทั้งรายได้จากการลงทุนในธุรกิจอาหารผ่านบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งปัจจุบันลงทุนใน บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด, บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ “บองชู” (BONJOUR) มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ทั้งในประเทศไทย จีน และเวียดนาม และมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ในขั้นตอนเตรียมนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO)
ทิศทางธุรกิจปี 2568 ดุสิตธานี ตั้งเป้าหมายรายได้ 10,000 ล้านบาท เติบโต 20-25% เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยเป็นการเติบโตของธุรกิจโรงแรม 20-25% ธุรกิจอาหาร 10-15% ธุรกิจการศึกษา 10-12% และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 100%
ปี 2568 ดุสิตธานี น่าจะกลับมาเทิร์นอะราวด์ หลังจากเจอกับภาวะขาดทุนจากผลกระทบโควิดและการลงทุนโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ไม่ได้เพิ่มทุน จึงกู้เงินลงทุนและมีภาระดอกเบี้ย เมื่อโครงการเสร็จแล้วก็เริ่มเห็นผลกำไร รวมทั้งเครื่องยนต์ทุกเครื่องของธุรกิจที่วางฐานไว้ตลอด 9 ปี จะค่อยๆ สร้างการเติบโตทำให้ภาพรวมของกลุ่มดุสิตธานีกลับมาเติบโตและสร้างกำไรได้
ขณะที่ “ขาดทุนสะสม” จะหมดไป หลังจากเริ่มโอนโครงการ Dusit Residences ที่ขายไปแล้ว 90% มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท จะทำให้หนี้และดอกเบี้ยลดลง และดุสิตธานี จะก้าวสู่ New Chapter ใหม่ จากการวางรากฐานตลอด 9 ปี ในฐานะซีอีโอ
คุณศุภจี กล่าวว่าการเปลี่ยนผ่านซีอีโอใหม่ของดุสิตธานี โดยคุณชนินทร์ โทณวณิก ได้มารับตำแหน่งซีอีโอ จะไม่สะดุด เพราะดุสิตธานีได้ผ่านจุดที่ยากลำบากไปแล้ว
หลังจากจบภารกิจ รมว.พาณิชย์ ในปี 2569 ก็จะกลับมาทำงานที่ “ดุสิตธานี” อีกครั้ง

ในขณะที่ภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลานี้ต้องการผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อน ซึ่งนับเป็นเรื่องเร่งด่วน ภายใต้เงื่อนเวลาที่จำกัด
กลุ่มดุสิตธานีจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่คุณศุภจี จะได้ใช้ความรู้ความสามารถทำงานรับใช้ชาติและประชาชน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
“หากภารกิจของชาติเสร็จสิ้นเป็นเรียบร้อย กลุ่มดุสิตธานีก็พร้อมจะต้อนรับคุณศุภจีกลับมาเสมอ”
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE




