HomeBrand Move !!“Mobility Data เปลี่ยนเมือง” กรณีศึกษาญี่ปุ่น-ไทย ใช้ Data อย่างเข้าใจ ให้ “การท่องเที่ยว” ฟื้น

“Mobility Data เปลี่ยนเมือง” กรณีศึกษาญี่ปุ่น-ไทย ใช้ Data อย่างเข้าใจ ให้ “การท่องเที่ยว” ฟื้น

แชร์ :

ผลงานศิลปะ “Pumpkin” ของ Yayoi Kusama หนึ่งในจุดเช็คอินสำคัญของงาน Setouchi Art Triennale ที่เกาะ Setouchi

สำหรับโลกดิจิทัลในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่า ข้อมูล (Data) ถูกเปรียบเสมือน “น้ำมัน” ที่หล่อเลี้ยงและขับเคลื่อนนวัตกรรมต่าง ๆ การมีข้อมูลที่ดี และมีในปริมาณที่มากพอนั้น ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสใหม่ ๆ แต่ยังมีพลังในการเปลี่ยนทิศทางการลงทุน และกระแสเงินทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ทั้งนี้ ในโลกของข้อมูล Mobility Data ก็ถือเป็นหนึ่งในข้อมูลที่มีคุณค่า และถูกนำไปใช้พัฒนาเมืองในด้านต่าง ๆ มากขึ้นเช่นกัน เนื่องจาก Mobility Data สามารถสะท้อนการเคลื่อนไหวจริงของผู้คน โดยเราจะเห็นว่า มีการใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการออกแบบนโยบายของหลายประเทศ และหนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือ ประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถนำ Mobility Data มาประยุกต์ใช้ในการพลิกฟื้นเมืองที่เคยเกือบร้าง ให้กลับมีชีวิตชีวา และดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อีกครั้งด้วย

เปิดกรณีศึกษา “ญี่ปุ่น” เมื่อ Mobility Data กลับมาดูแล “คน”

เกาะ Setouchi ที่กลับมามีชีวิตชีวาและสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อีกครั้ง (ขอบคุณภาพจาก ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย ผู้ช่วยคณบดีและรองผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

การใช้งาน Mobility Data ของญี่ปุ่นได้รับการเปิดเผยผ่าน ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย ผู้ช่วยคณบดีและรองผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่ามีการประยุกต์ใช้ Mobility Data ร่วมกับ  GPS และ Free WiFi เพื่อทำความเข้าใจการเคลื่อนที่ของผู้คน รวมถึงนักท่องเที่ยว และมีการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้พลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กับเกาะ Setouchi ได้อย่างเป็นรูปธรรม

โดยเกาะ Setouchi ครั้งหนึ่งเคยพบกับความท้าทายที่ว่า คนหนุ่มสาวย้ายออกจากเกาะมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากกิจการประมงในเกาะซบเซา ประกอบกับสังคมผู้สูงอายุทำให้ขาดแรงงานและกำลังซื้อถดถอย เมื่อเศรษฐกิจซบเซาในระยะยาว บ้านร้างในชุมชนก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก

การจะดึงคนหนุ่มสาวที่ย้ายออกไปให้กลับมาตั้งรกรากที่เกาะดังเดิมเป็นเรื่องยาก หากไม่มีอาชีพรองรับ ทางเมืองจึงได้มีการปรับโฉมเมืองใหม่โดยใช้ศิลปะเป็นแรงขับเคลื่อน เช่น การสร้างเทศกาลศิลปะ Setouchi Triennale ที่นอกจากจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากแล้ว ยังเปิดโอกาสให้คนในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ และสามารถสร้างรายได้ให้กับชาวเมืองได้อย่างยั่งยืนด้วย

ขอบคุณภาพจาก ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย

Setouchi ยังให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูอาคารเก่าแก่ โดยมีการปรับปรุงใหม่เพื่อใช้เป็นที่พักและร้านอาหาร ตลอดจนพิพิธภัณฑ์ ทำให้เมืองสามารถสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนั้น ในด้านเกษตรกรรมก็มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะถิ่น เช่น ส้มออร์แกนิกพันธุ์พิเศษ รวมถึงการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากมะนาวเขียว (Green Lemon) จนเกิดเป็นธุรกิจใหม่ ๆ ของเกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นด้วย

ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า เป้าหมายที่แท้จริงของการพัฒนาเกาะ Setouchi คือการสร้างชุมชนที่ผู้คนมีความสุข โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ลูกหลานที่ไปทำงานในเมืองใหญ่ สามารถกลับไปอยู่ใกล้ชิดกับญาติพี่น้องที่บ้านเกิดและมีอาชีพที่สามารถเลี้ยงชีวิตได้จริง

ปฐมบทเมืองไทย การใช้ Mobility Data ใน “มิติการท่องเที่ยว”

ทริปล่องเรือของชุมชนบ้านแหลม

สำหรับประเทศไทย การประยุกต์ใช้ Mobility Data อาจยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยที่ผ่านมา มีการจับมือกันของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.), สำนักงานส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.), ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ทรู คอร์ปอเรชั่น และคลาวด์แอนด์กราวด์ นำ Mobility Data ของทรู คอร์ปอเรชั่น มาประยุกต์ใช้กับภาคการท่องเที่ยว โดยวิเคราะห์รูปแบบการเดินทางจริงของผู้คน และสร้างเป็น Tourism Cluster เพื่อออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ได้มากถึง 6 เส้นทาง

หนึ่งในตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วคือ “คลัสเตอร์สายน้ำ” (River Route) ที่เชื่อมจังหวัดอุทัยธานี–สุพรรณบุรี–ชัยนาท โดยข้อมูล Mobility Data ของ ทรู พบว่า เส้นทางนี้มีศักยภาพ สามารถสร้างเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้

สำหรับสิ่งที่จะพบได้จากคลัสเตอร์ดังกล่าว คือเรื่องราวของชุมชนต่าง ๆ ที่ประกอบอาชีพ และมีวิถีชีวิตผูกพันกับแม่น้ำสายหลักของภาคกลาง เช่น ชุมชนญวน หมู่บ้านแม่พระประจักษ์ (ย้ายมาจากชุมชนญวนที่เคยอาศัยในย่านสามเสนในกรุงเทพฯ เมื่อในอดีต ปัจจุบันคือที่ตั้งของโรงเรียนเซนต์ฟรังซิสซาเวียร์คอนแวนต์และโรงเรียนเซนต์คาเบรียล) ที่มีผลิตภัณฑ์อย่าง “ปลาหมำ” เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น

ปลาหมำ ผลิตภัณฑ์จากชุมชนญวน หมู่บ้านแม่พระประจักษ์

หรือชุมชนตำบลบ้านแหลม ตำบลที่นำการล่องเรือตามรอยเสด็จประพาสต้น รัชกาลที่ 5 และตำนานนิราศสุพรรณ สุนทรภู่ รศ.50 มาสร้างเป็นทริปล่องเรือได้อย่างน่าสนใจ

นอกจากนั้น ยังมีตลาดปลาขนาดใหญ่บริเวณเขื่อนเจ้าพระยาที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยตลาดปลาดังกล่าวจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงเช้ามืดของทุกวัน และมีพ่อค้าแม่ค้าจากภาคกลางมุ่งหน้ามาเลือกซื้อหาปลาแม่น้ำ เช่น ปลาบึก ปลาชะโด ปลาพวง ปลาสวาย ปลาคัง ฯลฯ กันอย่างคับคั่ง

ส่วนสนนราคาก็ถือว่าน่าสนใจ เนื่องจากมีราคาย่อมเยามาก และปลาก็มีความหลากหลายสูง ซึ่งภาพของตลาดปลาขนาดใหญ่นี้ ถือเป็นจุดเด่นอีกข้อที่อาจพบเห็นได้ไม่บ่อยนักในภูมิภาคอื่น ๆ

ตลาดปลาบริเวณเขื่อนเจ้าพระยา เป็นแหล่งขายส่งปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ของภาคกลาง โดยในช่วงเช้ามืดจะมีพ่อค้าแม่ค้าในจังหวัดต่าง ๆ มาซื้อปลากันอย่างคับคั่ง

Mobility Data ต่อยอดสู่การพัฒนาเมือง

จากภาพที่เกิดขึ้น จะเห็นได้ว่า Mobility Data กำลังกลายเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของการพัฒนาเมืองในอนาคต ทั้งจากกรณีศึกษาในญี่ปุ่นที่ชี้ให้เห็นว่า Data ช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจของเกาะ Setouchi หรือในประเทศไทย ที่หากประยุกต์ใช้ข้อมูลกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้อย่างเป็นรูปธรรม เราก็อาจเห็นโอกาสใหม่ด้านการท่องเท่ียว มากกว่าการใช้งบประมาณตามนโยบายแบบเดิม ๆ ของหน่วยงานภาครัฐก็เป็นได้

เมื่อมี Data ที่ใช้งานได้จริง คำถามที่คนไทยต้องตอบข้อต่อไปจึงอาจเป็น เราจะใช้เครื่องมือทรงพลังนี้ออกแบบ “เมืองไทย” อย่างไร หรือจะต่อยอดจากการท่องเที่ยวไปสู่การพัฒนาเมืองในวงกว้างได้อย่างไร ซึ่งไม่แน่ว่า หากคำตอบที่ได้กลับมา “น่าสนใจ” เมืองไทยในอนาคตอาจไม่ใช่แค่เมืองที่รถติดน้อยลง แต่เป็นเมืองที่ผู้คนอาศัยได้อย่างมีความสุข และสามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับท้องถิ่นต่าง ๆ ได้พร้อมกันก็เป็นได้

Source

Source


แชร์ :

You may also like