ในวันที่นักการตลาดต้องเข้าสู่สมรภูมิ AI เพื่อแย่งชิง Attention จากผู้บริโภค ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างหนักบนแพลตฟอร์มดิจิทัล การจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้จึงอาจต้องเข้าใจเกมใหม่บนแพลตฟอร์มด้วยเช่นกัน ซึ่งสำหรับ LINE MAN Wongnai ได้มีการเดินหน้ากลยุทธ์ใหม่ภายใต้แนวคิด “ACTTention” หรือก็คือ เปลี่ยนความสนใจ (Attention) ของผู้บริโภคให้กลายเป็น Action ที่วัดผลได้ ปิดการขายได้ไวบนเวที DAAT DAY 2025 พร้อมชูจุดแข็งการเป็นแพลตฟอร์ม Full-Funnel Marketing ครบวงจรทั้งออฟไลน์และออนไลน์มาเป็นจุดเด่นในการแข่งขัน
ดร.วีระพงศ์ โก กรรมการผู้จัดการฝ่าย On-demand Service จาก LINE MAN Wongnai กล่าวถึง แนวคิดดังกล่าวบนเวที “ACTTention: Turn Attention into Action” ว่าโลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์โฆษณาล้นตลาด และทำให้ช่วงความสนใจผู้บริโภคลดลงเหลือเพียง 8 วินาที
“ปัจจุบันผู้บริโภคมีความซับซ้อนในการตัดสินใจซื้อมากขึ้น ข้อมูลจาก Microsoft Attention Span Research ระบุว่าช่วงความสนใจของผู้บริโภคสั้นลงเหลือเพียง 8 วินาที รวมทั้งยังถูกถาโถมด้วยโฆษณาปริมาณมหาศาลมากกว่า 5,000 ครั้งต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 4 เท่า คอนเทนต์จากแบรนด์ต่าง ๆ จึงถูกกลืนหายไปได้ง่าย”
เพื่อรับมือกับโจทย์ท้าทายนี้ ในมุมของ ดร.วีระพงษ์ คือการปรับตัวไปสู่แนวคิดใหม่อย่าง “ACTTention” นั่นคือ
A – Attract ดึงดูดความสนใจในจังหวะที่ใช่
เน้นไปที่ผู้บริโภคที่มีความตั้งใจซื้อสูง หรือ High-Intent Audience ด้วยคอนเทนต์และโฆษณาที่สร้างอิมแพค จะช่วยให้ได้ Conversion Rate ที่สูงกว่าการกำหนดเป้าหมายแบบวงกว้างถึง 2-3 เท่า ช่วยลดต้นทุนได้มากถึง 60% ปิดการขายเร็วขึ้นถึง 40% และวัดผลได้ทันที ซึ่งเป็นจุดแข็งในแบบโซลูชันของ LINE MAN Wongnai โดย 85% ของผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน LINE MAN มีความตั้งใจสั่งอาหารจริง และกว่า 90% ของคนที่เข้ามาในหน้าร้านค้าบนแอปฯ จะถูกเปลี่ยนเป็นผู้ซื้อสำเร็จ
C – Connect เชื่อมต่อทั้งโลกออนไลน์และออฟไลน์
ในจุดนี้ ดร.วีระพงษ์ชี้ว่า LINE MAN Wongnai มีดิจิทัลโซลูชันทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่อยู่กับผู้บริโภคตลอดทั้งวัน ตั้งแต่สั่งอาหาร สั่งของ เดินทาง และกลับมารีวิวร้านอาหารในโลกออนไลน์ อีกทั้ง LINE MAN Wongnai ยังเป็นรายแรกในวงการ Food & Beverage ของไทยที่ร่วมงานกับ Meta ใช้ระบบโฆษณา CPAS มาเชื่อมต่อโซเชียลมีเดียเพื่อวัดผลได้แม่นยำ นำข้อมูลมา Retargeting หรือโฆษณาติดตามคนที่เคยสนใจ เพื่อมอบเมนูและบริการที่ตรงใจ จนปิดออเดอร์ได้เพิ่มกว่า 50%
T – Trigger กระตุ้นให้เกิด Action ที่วัดผลได้จริง
สุดท้ายคือการใช้สิ่งจูงใจที่ผู้บริโภคชื่นชอบ เช่น โปรโมชั่น ส่วนลด ผสานระบบการสั่งซื้อที่สะดวก ง่าย ช่วยให้ตัดสินใจได้เร็ว ต่อยอดประสบการณ์ออนไลน์สู่ออฟไลน์ได้ผ่านโซลูชันอย่าง Pick & Go และ Dine-in รวมทั้ง POS และนำข้อมูลที่ได้จากระบบเหล่านี้ไปใช้ให้มีประสิทธิภาพ โดยภายในงานได้มีการยกตัวอย่างของหลายแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น รสดี, เบอร์เกอร์คิง, โค้ก
ทั้งนี้หัวข้อ “ACTTention: Turn Attention into Action” ยังได้ ดร.นที ศรีสมถวิล Coca-Cola Brand Lead, Thailand มาร่วมแบ่งปันมุมมองการตลาดด้วย โดยชี้ว่าหัวใจสำคัญคือการทำให้แบรนด์ปรากฏอยู่ในทุกช่วงของกระบวนการตัดสินใจของผู้บริโภค พร้อมสะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์ควรมีความเข้าใจอย่างแท้จริง และเสริมด้วยการประยุกต์จิตวิทยาการตลาด เช่น การสร้างเงื่อนไขจำนวนจำกัดหรือเวลาจำกัดเพื่อเร่งเร้าให้เกิดการตัดสินใจ รวมทั้งการใช้ Social Proof อย่างเรตติ้งและรีวิวเพิ่มความน่าเชื่อถือ และสุดท้ายคือการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ทันที ผ่านการวางแบรนด์ให้อยู่คู่กับลูกค้าในทุกช่วงเวลานั่นเอง







