HomeBrand Move !!“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” แม่ทัพ ESG สหพัฒน์ เรื่องความยั่งยืนจากนี้ไปต้อง Get Real ยอมรับความจริงและตรวจสอบได้  

“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” แม่ทัพ ESG สหพัฒน์ เรื่องความยั่งยืนจากนี้ไปต้อง Get Real ยอมรับความจริงและตรวจสอบได้  

แชร์ :

BRAND BUFFET เว็บไซต์ข่าวสารการตลาดและธุรกิจออนไลน์ ร่วมกับ SD Thailand จัดงานเสวนา ESGNIVERSE 2025 : Real – World of Sustainability จักรวาลแห่งความยั่งยืน เพื่อให้นักธุรกิจ นักการตลาด และผู้บริหารองค์กร ได้อัพเดทเทรนด์และความเคลื่อนไหวเรื่อง “ความยั่งยืน” ตามหลักของ ESG พร้อมกับเป็นแนวทางนำไปปรับใช้ได้กับองค์กรตนเอง ผ่านเคสจริงจากวิทยากรชื่อดังหลากหลายวงการธุรกิจของเมืองไทย ภายใต้ธีม From Reports to Real Impact คือ การทำเรื่อง ESG ให้มากกว่าแค่เอกสารรายงาน แต่เป็นกลยุทธ์ที่เกิดผลจริง

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

หนึ่งในวิทยากรงานเสวนา ESGNIVERSE 2025 คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะรองประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC มาร่วมแชร์แนวคิด ESG ที่นำแนวคิดของ “นายห้างเทียม โชควัฒนา” มาเป็นเข็มทิศในการดำเนินธุรกิจของเครือสหพัฒน์ โดยผสานกับการบริหารจัดการ องค์ความรู้และเทคโนโลยีในปัจจุบัน มาปรับใช้จนกลายโครงการและกิจกรรมที่สหพัฒน์ ดำเนินการเพื่อสังคม ที่ว่าด้วย Get Real! More inconvenient truths

“เมื่อทุกคนเชื่อเรื่องความยั่งยืน ต้องการเห็นความยั่งยืน ความหวังนี้ถ้าจะสมหวังได้ต้องเริ่มที่ความจริงก่อน ต้องเปลี่ยน Mindset เปลี่ยนหลายอย่างเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนได้”   

การพูดเรื่องความยั่งยืนต้องเริ่มจากการดูภาพใหญ่ ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน เป็นครั้งแรกที่มีความตื่นตัวเรื่องความยั่งยืน จาก “อัล กอร์” (Al Gore) รองประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ออกมาเตือนผู้คนทั่วโลกถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและอุณหภูมิที่จะร้อนมากขึ้น ผ่านภาพยนตร์สารคดี An Inconvenient Truth ในปี 2006

ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างมากในการจุดประกายให้คนทั้งโลกเห็นว่าการใช้ชีวิต การดำเนินธุรกิจ การทำสิ่งต่างๆ ของพวกเราทุกคน กำลังทำลายโลก ที่ถือเป็นความจริงที่คนไม่อยากฟัง เพราะเหมือนเป็นการบังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งอย่าง จากการใช้ทรัพยากรจำนวนมากของผู้คน

10 ปีต่อมาหลังจาก “อัล กอร์” จุดประกายผ่านสารคดี An Inconvenient Truth ในปี 2015 การประชุม COP ครั้งที่ 21 ซึ่งเป็นการประชุมระดับโลกว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสรุปเป็นข้อตกลงที่เรียกว่า “ข้อตกลงปารีส” (Paris Agreement) สาระสำคัญคือจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส  ซึ่งดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่โลกสามารถตกลงกันในเรื่องของเป้าหมายว่าจะดำเนินการอย่างไรเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน

จากวันที่ “อัล กอร์” เปิดประเด็นเรื่องโลกร้อน มาสู่ “ข้อตกลงปารีส” เห็นได้ว่าโลกเปลี่ยนไป ตื่นตัวเรื่องความยั่งยืน อยากเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เดินหน้าเศรษฐกิจสีเขียว องค์กรประกาศความเป็นกลางทางคาร์บอน แต่จริงๆแล้ว “เราทำได้หรือไม่”

เพราะ ปี 2024 พบว่ามีการปล่อยคาร์บอนทั้งโลกราว 40,000 – 50,000 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ ขณะที่เป้าหมายจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส จากข้อตกลงปารีส หากดูเป้าหมายนี้จะเหลือปริมาณคาร์บอนที่จะปล่อยได้อีก 6 ปีเท่านั้น

ตรวจการบ้าน SDG หลายเรื่องไม่ตามเป้า 

มาลองตรวจการบ้าน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ของสหประชาชาติ 42 เรื่อง ที่ต้องทำให้ได้ใน ปี 2030 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า พบว่าประเทศไทยมี 1 เรื่องทำได้ตามเป้า คือ ปริมาณการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ส่วนประเด็นอื่นๆ ที่เหลือยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

–  “ยังเร็วไม่พอ” เช่น การใช้พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ที่เพิ่มขึ้น 14% แต่หากต้องการทำให้ได้ตามเป้าหมายต้องเพิ่มขึ้น 24%

– “ยังยากที่จะทำตามเป้าหมาย”  เช่น การทำเกษตรที่ยังปล่อยคาร์บอนเข้าสู่อากาศ หากต้องการทำให้มีอาหารเพียงพอและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ต้องเพิ่มประสิทธิภาพจากปัจจุบันอีก 10 เท่า

– “สิ่งที่ทำผิดจากการดำเนินการตามเป้าหมาย” มี 6 เรื่อง คือ หากต้องการเป็นเศรษฐกิจสีเขียว ก็ต้องลดการใช้พลังงานเชื้อเพิลงจากฟอสซิล แต่ปีที่ผ่านมารัฐบาลทั่วโลกยังให้เงินอุดหนุนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล 1 ล้านล้านดอลลาร์

ทั้งหมดนี้จึงเป็นตัวฟ้องว่าเรายังไม่สามารถไปถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ 

จาก “ข้อตกลงปารีส” ที่มีเป้าหมายจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อตรวจการบ้านการดำเนินงานต่างๆ ในวันนี้ หากมองโลกในแง่ดีและมีปรับปรุงสิ่งต่างๆ เก่งสุดที่ทำได้คือไม่เกิน 1.9 องศาเซลเซียส แต่หากดูตามเป้าหมายที่ภาครัฐกำหนดไว้ในปัจจุบันจะทำได้ 2.1 องศาเซลเซียส

ดังนั้นตามเป้าหมายอีก 5 ปี ใน ปี 2030 ทำได้ 2.6 องศาเซลเซียส แต่หากดูจากนโยบายที่ปฏิบัติจริงจะเป็นตัวเลขที่ 2.7 องศาเซลเซียส

ส่วนของประเทศไทยอยู่ที่ 3 องศาเซลเซียส หากเทียบขนาดเศรษฐกิจประเทศไทยที่อันดับ 27 ก็จะทำให้โลกร้อนขึ้น 4 องศาเซลเซียส

ดังนั้นเมื่อมาดูความจริงการปฏิบัติเรื่อง ESG หลายเรื่องยังไม่ถูกต้อง

เป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืน (SDG) ของของสหประชาชาติ 17 เรื่อง จะเห็นได้ว่าประเทศไทยทำได้แล้ว 2 เรื่อง คือ การขจัดความยากจน และคุณภาพการศึกษา ตามเป้าหมายในอีก 5 ปี (2030) แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำอีก ไม่ว่าจะเป็น ด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรน้ำ ดิน  แม้กระทั่งเรื่องการยุติความหิวโหย (Zero Hunger) ประเทศไทยยังไม่ได้ตามเป้าหมาย นี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

ช่วงเกิดวิกฤติโควิดและวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมา หลายประเทศยืดระยะเวลา แก้ และปรับกฎหมาย รวมทั้งมาตรการต่างๆ เพราะต้องเร่งฟื้นเศรษฐกิจก่อน  ส่วน SDG ยังเป็นเรื่องที่รอไว้ก่อน

ส่วนระดับองค์กร บริษัท ธุรกิจต่างๆ ก็มีมาตรการจากภาครัฐ หรือการใช้อำนาจของประเทศต่างๆ มาช่วยเรื่องความยั่งยืน ขณะเดียวกันก็มีหลายมาตรการบังคับและจูงใจ

จากการจัดอันดับขนาดเศรษฐกิจโลก ประเทศไทยอยู่อันดับ 27 ขณะที่การจัดอันดับรายได้ต่อหัวอยู่อันดับกลางๆ  แต่เมื่อจัดอันดับความศักสิทธิ์ของกฎหมาย ระบบนิติรัฐ นิติธรรม (Rule of Law Index) ประเทศไทยกลับลดลง ปัจจุบันอยู่อันดับ 78 ส่วนเรื่องธรรมภิบาล (Corruption Perception Index) อันดับ 108

นี่คือโจทย์ ESG ของประเทศไทย สำหรับทุกคนที่ต้องเร่งมือ

ESG สิ่งที่ต้องย้ำ คือหลายเรื่องในโลกกำลังจะทำบนกระดาษหรือกำลังทำบนความเป็นจริง เพราะหลายเรื่องแปะป้ายว่ายั่งยืน แต่ที่จริงไม่ได้มีการตรวจสอบ และเชื่อตามข้อมูลที่องค์กรบอกไว้

ESGสหพัฒน์ตามหลักคิด “นายห้างเทียม โชควัฒนา”  

หลังจากเข้ามาดูแล ESG ของสหพัฒนพิบูล คุณอภิสิทธิ์ วางแนวทางไว้ดังนี้  1. หากจะประกาศเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน ก็ต้องรู้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ขององค์กรก่อนว่ามีเท่าไหร่ “ก็เหมือนเราจะประกาศปลอดหนี้ก็ต้องรู้ว่ามีหนี้เท่าไหร่”

2. ความเป็นกลางทางคาร์บอนปัจจุบัน หลายองค์กรไม่ได้ลดการปล่อยคาร์บอน แต่ซื้อคาร์บอนเครดิต ซึ่งการซื้อคาร์บอนเครดิตรวมถึงโครงการที่อ้างว่าดูดซับคาร์บอน กำลังถูกตรวจสอบว่าไม่ได้เป็นไปตามข้อเท็จจริง  โครงการไม่ได้ลดการปล่อยคาร์บอนจริง เป็นสิ่งที่องค์กรต้องกำหนดแนวทางให้ชัดเจน หากจะซื้อคาร์บอนเครดิตและตรวจสอบแหล่งที่ซื้อ

ดังนั้นแนวทาง ESG ขององค์กรต้องเริ่มจากการยอมรับความจริงก่อน กรณีสหพัฒน์ หากจะประกาศความเป็นกลางทางคาร์บอน จึงต้องเริ่มจากสำรวจคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จากนั้นบอกข้อมูลกับสังคม ประกาศแผนและวิธีการลดการปล่อยคาร์บอน  แผนการซื้อคาร์บอน เครดิต โดยทุกเรื่องต้องโปร่งใส

เชื่อว่าปีนี้เป็นต้นไป การปรับปรุงที่เกี่ยวข้องกับการประเมิน ESG จะโปร่งใสมากขึ้น ข้อมูลทั้งหมดต้องเปิดเผยในเว็บไซต์ ถือเป็นการบ้านที่ทุกองค์กรต้องทำ

ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจช่วยงาน ESG ของสหพัฒน์ เพราะเชื่อว่าถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากตัวเอง และตัวตนของเราต้องถูกกำกับด้วยค่านิยมของเรา มีความสบายใจอย่างหนึ่งในการอยู่ที่สหพัฒน์ เพราะผู้ก่อตั้ง ดร.เทียม โชควัฒนา มีปรัชญาการทำงานที่กล่าวไว้นานแล้วหลายเรื่องยังทันสมัยและสอดคล้องกับเป้าหมายเรื่องความยั่งยืน รวมทั้งค่านิยมของเครือสหพัฒน์คือ “สร้างคนดี สินค้าดี สังคมดี” เป็นสิ่งที่ไปด้วยกัน

สิ่งที่เราพยายามทำและทำได้ง่ายที่สุดของ ESG  คือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ธรรมาภิบาล เพราะเครือสหพัฒน์ เน้นเรื่องความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบกันของคนที่อยู่ในห่วงโซ่ธุรกิจ 

ตามดูโครงการ ESG สหพัฒน์ 

สหพัฒนพิบูล มีหลายโครงการ ESG ที่ดำเนินการมาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น โครงการสหพัฒน์ให้น้อง ปีที่ 9  เป็นการสร้างต้นกล้าคุณธรรม ส่งต่อพลังบวกสู่เยาวชนไทย  โดยลงพื้นที่ไปตามโรงเรียนต่างๆ กว่า 230 แห่งตามหาตัวแทนเด็กดี มีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ ที่มีความโดดเด่นในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการทำความดีให้ครอบครัวและสังคม  เพราะการบ่มเพาะคุณธรรม ความซื่อสัตย์ และจิตสำนึกต่อสังคมตั้งแต่วัยเยาว์ คือรากฐานสำคัญของการสร้างสังคมที่ดีและยั่งยืน

โครงการด้านการศึกษา ทบทวนความรู้สู่มหาวิทยาลัย “สหพัฒน์แอดมิชชั่น” ทำมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 27 ตั้งแต่ระบบเอ็นทรานส์มาถึงแอดมิดชั่น เพื่อเปิดโอกาสความเท่าเทียมทางการศึกษา ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มีการติวแบบ Onsite และ Online โดยมีติวเตอร์ชั้นนำระดับประเทศมาให้ความรู้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

โครงการด้านสิ่งแวดล้อม ในเครือสหพัฒน์ดำเนินการหลายเรื่อง เริ่มจาก SPI ดูแลสวนอุตสาหกรรมศรีราชาใช้แผ่นโซล่าลอยน้ำที่แรกในไทย มีระบบบริหารจัดการน้ำหมุนเวียน บำบัดให้มากที่สุด เพื่อนำมาใช้ในสวนสีเขียว เกษตรพอเพียง และปล่อยตามแหล่งน้ำสาธารณะ

บมจ. ราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี  ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์-ศรีราชา เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Cogeneration Combined Cycle) โดยใช้เชื้อเพลงก๊าซธรรมชาติและไอน้ำ ทำให้เกิดการหมุนเวียนและใช้ให้เกิดคุณค่ามากที่สุด โดยขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) รวมถึงจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้ SPI เพื่อจำหน่ายต่อให้โรงงานอุตสาหกรรมในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์-ศรีราชา

โรงไฟฟ้าชีวะมวล บริษัท สหโคเจน กรีน จำกัด ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ จังหวัดลำพูนและกำแพงเพชร สนับสนุนสิ่งแวดล้อม จัดทำศูนย์รับซื้อซีวะมวล เป็นวิธีการบริหารจัดการขยะ

บริษัทในเครือสหพัฒน์ที่ทำด้านการผลิต ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ ลดสารเคมี ยกเลิกการใช้สารเคมีอันตราย ใช้วัตถุดิบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  ใช้น้ำมันปาล์ม ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน RSPO  เช่น  ออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้พลาสติกลดลง แยกขยะรีไซเคิล บรรจุภัณฑ์นำกลับมาใช้ใหม่มากขึ้น

โครงการ Care the Whale ขยะล่องหน ปีที่ 4 เป็นโครงการจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมมือกับพันธมิตรภาคเอกชน โดยมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกด้วยการบริหารจัดการขยะ ตามแนวคิด “ขยะล่องหน” โดยเครือข่ายพันธมิตรมีเป้าหมายร่วมกันในเรื่อง Zero-waste to landfill

การใช้รถไฟฟ้าสำหรับการขนส่งสินค้า (Electric Vehicle)  ปี 2567 ได้จัดซื้อรถขนส่งพลังงานไฟฟ้า 100% นำร่องจำนวน 4 คัน เริ่มใช้ขนส่งจริงเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ในเส้นทางการขนส่งในเขตกรุงเทพ – ปริมณฑล

ความร่วมมือกันพยายามทำเรื่อง ESG ประเด็นอยู่ที่โครงสร้างหลายอย่าง จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งภาครัฐมีบทบาทสำคัญอย่างมากเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย  ขณะที่เอกชนก็มีความสามารถและบททาทสำคัญ เป็นสิ่งที่ต้องทำมากขึ้น หากต้องการเห็นความยั่งยืนในสังคม

แนวคิด ESG ของ สหพัฒน์ จึงเป็นการ Get Real เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน ที่ว่าด้วย 4 เรื่อง ของคำว่า REAL ดังนี้ 

R: Responsible 

E: Ethical 

A: Action 

L: Long term

“เรื่อง ESG จากนี้ไปต้อง Get Real ยอมรับความจริง พวกเราทุกคนต้องตระหนักว่ามีส่วนและรับผิดชอบต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ ความไม่ยั่งยืนทั้งหลายที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากการกระทำของพวกเราทั้งสิ้น สิ่งที่จะเกิดเป็นความสำเร็จได้ ต้องมาจากความเชื่อของเราจริงๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคุณค่าและค่านิยมของเรา หากต้องการมีความยั่งยืน ก็หนีไม่พ้นเรื่องหลักคุณธรรมและจริยธรรม”

วันนี้เรื่อง ESG อยู่เฉยไม่ได้และเลือกไม่ได้ จะรอจนกว่าทุกคนทำเรื่อง ESG กันหมดแล้วมาทำคงไม่ได้ แต่ต้องทำงานในเชิงรุก ตั้งใจคิดค้นสิ่งใหม่ๆ วางแผนระยะยาวมากขึ้น เป็นการ Get Real เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน 

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE


แชร์ :

You may also like