HomeDigitalCluster Tourism การท่องเที่ยวไทยกับการสร้างโอกาสใหม่ผ่าน Mobility Data

Cluster Tourism การท่องเที่ยวไทยกับการสร้างโอกาสใหม่ผ่าน Mobility Data

แชร์ :

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอาจเคยเป็น “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ” ที่สำคัญของไทย เห็นได้จากปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยพุ่งทะยานเกือบ 40 ล้านคนต่อปี สร้างรายได้ให้กับประเทศถึงราว 19% รั้งอันดับ 4 ของโลกที่มูลค่า 60,500 ล้านบาท

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

อย่างไรก็ดี หลังจากวิกฤตโควิด-19 ภูมิทัศน์ทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลกได้เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่พบว่า อัตราการเติบโตได้หันไปสู่ประเทศญี่ปุ่นที่ 112% ตามด้วยเวียดนามที่ 68% และไทย 47%

กระนั้น เมื่อเทียบกับยุคก่อนโควิด-19 อัตราการฟื้นตัวของไทยยังคงติดลบ 12% ทำให้สัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีลดลงมาที่ 14% โดยมีปัจจัยลบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และปัญหาความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

นอกจากนี้ ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ต่างชูจุดเด่น-ออกกลยุทธ์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น การใช้กลยุทธ์ด้านราคาและแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของเวียดนาม ด้านอินโดนีเซียชูเอกลักษณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ ความหรูหราสะดวกสบายในราคาที่เข้าถึงได้ ขณะที่สิงคโปร์ยังคงเน้นลงทุนแหล่งท่องเที่ยวสร้างใหม่ (Man-Made) ที่สะดวก และปลอดภัย และญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม พร้อมด้วยความสะดวก ปลอดภัยในราคาที่ไม่ไกลเกินเอื้อม

เพิ่มศักยภาพท่องเที่ยวไทยด้วย Cluster Tourism

ภายใต้ “กลยุทธ์การท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์” (Cluster Tourism) ที่เกิดจากการศึกษาข้อมูลการเดินทาง (mobility data) ของนักเดินทางระหว่างปี 2566 – 2567 คิดเป็นจำนวนกว่า 500 ล้านทริป  พบว่า สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดให้เกิดเป็น “เมืองน่าเที่ยว” ได้ถึง 21 เส้นทาง ตัวอย่างเช่น เชียงใหม่-ลำปาง-ลำพูน, นครปฐม-ราชบุรี-กาญจนบุรี, เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์-สมุทรสาคร-สมุทรสงคราม, ขอนแก่น-ชัยภูมิ เป็นต้น

ทั้งนี้ กลุ่มคลัสเตอร์จะมีศักยภาพในการพัฒนาสู่เส้นทางท่องเที่ยวได้นั้น จำต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 5 ข้อ ได้แก่

  • มีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ซึ่งใช้เป็นแนวทางในการกำหนดอัตลักษณ์ของแต่ละคลัสเตอร์
  • มีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่น ซึ่งช่วยให้เห็นลักษณะและพื้นที่กระจุกตัวของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้เกิดการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ
  • เห็นบทบาทของแต่ละจังหวัดในแต่ละคลัสเตอร์ โดยพบว่าแต่ละเส้นทางจะประกอบด้วยเมืองศูนย์กลาง เมืองบริวาร และเมืองส่งเสริมพิเศษ
  • จำต้องคำนึงถึงการรับมือผลกระทบทางการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ เพื่อป้องกันสภาวะ overtourism และส่งเสริมให้สอดคล้องกับความสามารถในการรองรับ (carrying capacity)
  • มีความเป็นไปได้ในการขยายโอกาสด้านการท่องเที่ยวสู่พื้นที่ใหม่ๆ ด้วยการกระจายนักท่องเที่ยวสู่พื้นที่เป้าหมาย

เปิดความสำคัญ Mobility Data

คุณเอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล และ (รักษาการ) หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกลุ่มธุรกิจองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “Mobility Data เป็นกุญแจสำคัญในการวางยุทธศาสตร์ให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยก้าวข้ามความท้าทายที่เผชิญอยู่

ข้อมูลนี้เปิดโอกาสให้เรายกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวได้ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความคล่องตัวในการเดินทาง การบริหารจัดการความหนาแน่นของผู้คนในสถานที่ท่องเที่ยว หรือแม้แต่การเตรียมตัวรับมือเหตุฉุกเฉิน ทั้งยังช่วยในการนำเสนอประสบการณ์ เส้นทาง หรือแคมเปญการท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่สะท้อนเรื่องราวจากวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละท้องที่ นำไปสู่การสร้างโอกาส กระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการและชุมชนให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น และสร้างความได้เปรียบใหม่ ๆ ในการแข่งขันให้กับประเทศไทยบนเวทีโลก”

ทั้งนี้ คุณเอกราชยังกล่าวถึงอีกหลายประเทศที่มีการใช้ Mobility Data ในด้านอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น สหรัฐอเมริกาใช้ในการจัดการภัยพิบัติ (Disaster Management) ฟินแลนด์ใช้ในการวางแผนการเดินทางสาธารณะ (Public Transit) และโอมานใช้ในการออกแบบเมือง (Urban Planning)

สร้างเมืองน่าเที่ยวผ่าน Mobility Data

ในมุมของผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย รองผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม และผู้ช่วยคณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “จากบริบทใหม่ด้านการแข่งขัน การปั้น “ซัพพลาย” ใหม่จะช่วยยกระดับการท่องเที่ยวไทย เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน พร้อมกับกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจสู่พื้นที่ศักยภาพใหม่ ๆ หรือที่เรียกว่า “เมืองน่าเที่ยว”

“กลยุทธ์การท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์นี้ ช่วยให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยทั้งนักนโยบาย นักการตลาด นักธุรกิจ นักลงทุน ผู้ประกอบการรายย่อย เห็นภาพอุตสาหกรรมด้วยมุมมองใหม่ๆ เห็นโอกาสใหม่ๆ กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ รูปแบบการเดินทางใหม่ๆ ที่จะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมให้เติบโตโดยอยู่บนพื้นฐานแห่งความยั่งยืน โดยเฉพาะในยุคที่คุณค่า ความหมาย และประสบการณ์ที่แท้จริง คือ ความต้องการของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน”

ทั้งนี้ การมี Mobility Data ยังทำให้ผู้อยู่ในแวดวงมองเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ลึกขึ้น เช่น คลัสเตอร์ภาคกลาง ลักษณะนักท่องเที่ยวที่โดดเด่นคือเพศหญิง อาศัยอยู่นอกพื้นที่ภาคกลาง และมีอายุ 41 ปีขึ้นไป โดยมีการกระจุกตัวหนาแน่นตามวัดที่มีชื่อเสียง เช่น วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) เป็นต้น หรือการพบว่า นักท่องเที่ยวไทยกับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสนใจสถานที่ท่องเที่ยวแตกต่างกัน โดยนักท่องเที่ยวไทยที่ไปเยือนจังหวัดจันทบุรีอาจนิยมไปเที่ยวชุมชนริมน้ำจันทบูร แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับนิยมหาดทรายขาว เป็นต้น

Routes to Roots สำรวจรากวัฒนธรรมไทย

ทั้งนี้ การศึกษานี้ยังได้ร่วมมือกับ The Cloud และนำเสนอเป็น 6 คลัสเตอร์นำร่องเมืองน่าเที่ยวในแต่ละภูมิภาค ในชื่อ Routes to Roots: 6 ทริป 6 เส้นทางสำรวจรากวัฒนธรรมไทย  ได้แก่

  • Food Route เส้นทางกินเพื่อรู้จักวัฒนธรรมอาหารภาคตะวันออกที่จันทบุรีและตราด พื้นที่ที่อุดมด้วยวัตถุดิบที่มีเพียงหนึ่งเดียว หาไม่ได้ในพื้นที่อื่น โดยเฉพาะสมุนไพร เครื่องเทศ อย่าง เร่ว กระทือ ไพล กระต่ายจาม ขิงแก่ที่นำมาใช้เป็นส่วนผสมของอาหารพื้นบ้านหลายชนิด เช่น ก๋วยเตี๋ยวหมูเลียง เส้นจันท์ผัดปู และข้าวมันไก่น้ำพริกเผา
  • Volcano Route เส้นทางสำรวจวัฒนธรรมตามเส้นทางภูเขาไฟที่ดับสนิทของ 3 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ ซึ่งรวบรวมความเป็น “ที่สุด” เอาไว้ ทั้งมีภูเขาไฟมากที่สุด มีปราสาทหินเยอะที่สุด มีแหล่งทอผ้าไหมใหญ่ที่สุด มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความหลากหลายมากที่สุด
  • Flavor Route สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ออกเดินทางเพื่อค้นหาแหล่งวัตถุดิบสำคัญของอาหารในประเทศไทย เช่น อาหารทะเล เกลือ น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลโตนด มะนาว พร้อมเรียนรู้ภูมิปัญญาและวิธีการใช้วัตถุดิบ ชิมอาหารพื้นบ้านจากร้านอาหารที่ไม่ควรพลาด ลงมือทำอาหารเพื่อเข้าใจกระบวนการและที่มาของรสชาติ
  • Lanna Culture Route เส้นทางเรียนรู้วัฒนธรรมล้านนา ผ่านสถาปัตยกรรม ศิลปะ และอาหารของเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง รากฐานแห่งวัฒนธรรมและอารยธรรมกว่าพันปีที่เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้เบ่งบานบนผืนดินถิ่นเหนือและดินแดนล้านนา ศูนย์กลางเศรษฐกิจทางน้ำแหล่งธุรกิจการค้าของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ
  • Nature Route เส้นทางที่จะพาไปรู้จัก และสัมผัสธรรมชาติของนครศรีธรรมราชและพัทลุง
  • River Route เส้นทางเรียนรู้วัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับสายน้ำของสุพรรณบุรี อุทัยธานี และชัยนาท

สำหรับโครงการดังกล่าวเป็นการทำงานร่วมกันของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) – สำนักงานส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมด้วย ทรู คอร์ปอเรชั่น และ คลาวด์แอนด์กราวด์ ซึ่ง ศ.ดร. คมกฤต เล็กสกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวปิดท้ายว่า “สกสว.เชื่อมั่นว่างานวิจัยและนวัตกรรมเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างองค์ความรู้ใหม่ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาเชิงระบบ ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก”

“งานวิจัยที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเชิงลึกจากงาน Routes to Roots ชี้ให้เห็นว่า การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่อย่างเป็นระบบสามารถนำไปสู่มุมมองใหม่ในการกำหนดนโยบายที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณค่า ความยั่งยืน และการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”


แชร์ :

You may also like