ยังคงเป็นแม็กเนตสำคัญสำหรับธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ สำหรับ “ร้านอาหาร” เพราะนอกจากจะเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าแล้ว ยังถือเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ ทำให้ศูนย์การค้าขยับตัวเร็วและสร้าง “ประสบการณ์” ที่มากกว่าแค่การช้อปปิ้งหากแต่คือการตอบโจทย์สิ่งที่ลูกค้าต้องการให้มากที่สุด
ล่าสุด เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป เดินเกมรุกด้วยกลยุทธ์ Co-Marketing ผนึกพลังกับ “โออิชิ โฮลดิ้ง” เจ้าตลาดอาหารญี่ปุ่น เปิดตัวแคมเปญ Weekday Special หวังปั้น “วันธรรมดา” ให้กลายเป็น “โอกาสทอง” ดึงคนเข้าศูนย์ฯ เพิ่มทราฟฟิกผ่านร้านอาหารญี่ปุ่นยอดนิยม
กลยุทธ์ Co-Marketing ที่ไม่ได้แค่ขายของ แต่ขาย “ไลฟ์สไตล์”
คุณวรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ และ โออิชิ โฮลดิ้ง ครั้งนี้ เป็นการนำเสนอแนวคิดที่ต้องการเชื่อมโยง 2 ประสบการณ์ ได้แก่ Food Experience เข้ากับ Shopping Lifestyle โดยตั้งเป้าดึงดูดกลุ่มคนทำงาน นักศึกษา ครอบครัวรุ่นใหม่ และนักกินสายอาหารญี่ปุ่นให้มาใช้เวลาคุณภาพร่วมกันในศูนย์การค้าช่วงวันธรรมดา เสริมด้วยสิทธิพิเศษของ สมาชิก M Card และกิจกรรมไลฟ์สไตล์ภายในศูนย์ฯ ตลอดเดือน
ความร่วมมือครั้งนี้คือการวางหมากทางธุรกิจรองรับความต้องการ โดยจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งในธุรกิจอาหารญี่ปุ่น ผ่านแคมเปญ Weekday Special เติมความสุขกลางสัปดาห์กับความคุ้มค่าทุกมื้อพบกับโปรโมชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากร้านอาหารญี่ปุ่นชั้นนำในเครือโออิชิ ที่ร่วมรายการ เพื่อเชื่อมโยงสองประสบการณ์หลักที่ลูกค้าชื่นชอบ ได้แก่ “Food Experience + Shopping Lifestyle” โดยลูกค้าจะได้พบกับดีลสุดคุ้มเฉพาะสาขาเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ที่มอบ ส่วนลด 50% สำหรับลูกค้าท่านที่ 2 หรือเมนูที่ 2 ในราคาพิเศษ เมื่อรับประทานอาหารในช่วงวันจันทร์ถึงศุกร์ ตลอดเดือนมิถุนายน 2568
นอกจากนี้ สมาชิก M Card สามารถนำคะแนนสะสม 50 M Point รับส่วนลดเพิ่มอีก 100 บาท ผ่าน M Card Application ตลอดจนร่วมสนุกกับกิจกรรม AR HUNT ตามหาน้องแมว NEKO ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ สาขางามวงศ์วาน บางแค และบางกะปิ รับคูปองส่วนลดเพิ่มอีก 10% สำหรับการใช้บริการในครั้งถัดไป เป็นการผสมผสานระหว่างการกิน เทคโนโลยี และกิจกรรมแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่ช่วยยืดเวลาในการใช้ชีวิตในศูนย์การค้าให้นานขึ้น
จากศูนย์การค้าสู่ “Dining & Lifestyle Destination”
สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักในแคมเปญนี้ ได้แก่ คนทำงาน นักศึกษา ครอบครัวรุ่นใหม่ และนักกินสายญี่ปุ่น ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับความสะดวก ความคุ้มค่า และประสบการณ์ร่วมกันหลังเลิกงานหรือเลิกเรียน
คุณวรลักษณ์ ยังบอกอีกว่า เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ต้องการสร้างภาพจำใหม่ในฐานะ “A Happy Place to Live Life” หรือสถานที่ที่เป็นมากกว่าการช้อปปิ้ง แต่คือศูนย์รวมของไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะร้านอาหารที่มีบทบาทเป็น “แม่เหล็กสำคัญ” ในการดึงดูดลูกค้าเข้าสู่ศูนย์
ขณะเดียวกันข้อมูลเชิงพฤติกรรมผู้บริโภคยังบอกอีกว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นและบุฟเฟต์ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะตอบโจทย์ทั้งรสชาติ ความคุ้มค่า และการใช้เวลาร่วมกัน กลยุทธ์ Weekday Special จึงถูกวางมาอย่างแม่นยำเพื่อสร้าง “จุดหมายปลายทางแห่งมื้ออาหาร” ในช่วงเวลาที่ศูนย์ฯ มักจะเงียบเหงา
ในสมรภูมิค้าปลีกที่แข่งขันสูง การเข้าใจ “จังหวะของผู้บริโภค” และการออกแบบประสบการณ์ที่ “โดนใจในช่วงเวลาเฉพาะ” จะเป็นกุญแจสำคัญในการชนะใจลูกค้า ความร่วมมือครั้งนี้ จึงเป็นการผสานพลังในฐานะพันธมิตรธุรกิจ (Power of Partnership) เพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ กระตุ้นทราฟฟิก ด้วยการยกระดับไลฟ์สไตล์การรับประทานอาหารนอกบ้านด้วย ดีลบุฟเฟต์และเมนูญี่ปุ่น ที่เข้าถึงง่ายและคุ้มค่า ในขณะเดียวกันยังเชื่อมโยงประสบการณ์ที่มากกว่าด้วย Loyalty Program และกิจกรรมมากมายภายในศูนย์การค้า
“ปัจจุบันเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขาให้ความสำคัญกับร้านอาหารที่หลากหลาย สะท้อนแนวคิดการเป็น Dining & Lifestyle Destination สำหรับทุกเจเนอเรชัน โดยเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่นและบุฟเฟต์ที่ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า พบว่ากลุ่มคนทำงานและนักเรียนนักศึกษาให้ความสำคัญกับความสะดวก ความคุ้มค่า และกิจกรรมร่วมกันหลังเลิกงานหรือเลิกเรียน กลยุทธ์ Weekday Special จึงถูกออกแบบเพื่อตอบโจทย์ทั้ง “มื้ออาหารคุณภาพ” และ “เวลาแห่งความสุขร่วมกัน”
นับเป็นอีกหนึ่งการผสานจุดแข็งของทั้งศูนย์การค้าและแบรนด์อาหาร เพื่อกระตุ้นทราฟฟิกในช่วงวันธรรมดาอย่างเห็นผล เป็นการลงทุนที่ไม่ได้เพียงหวังยอดขายในระยะสั้น แต่คือการปั้น “Customer Loyalty” และประสบการณ์ที่ยึดลูกค้าไว้ได้ในระยะยาว






