นอกจากจะมีข่าวดีเรื่องภาษีการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลจีนที่จบลงเป็นการชั่วคราวแล้ว ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมฟาสต์ฟู้ดอย่าง “แมคโดนัลด์” (McDonald’s) ก็ออกมาประกาศ “อีกหนึ่งข่าวดี” ให้กับอเมริกันชน นั่นคือแผนการจ้างงานกว่า 375,000 ตำแหน่งในร้านอาหารทั้งของบริษัทและแฟรนไชส์ทั่วสหรัฐฯ โดยคาดว่าจะเริ่มในช่วงฤดูร้อนของปีนี้
การประกาศข่าวจ้างงานเพิ่มของ McDonald’s มีขึ้นโดยมีรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ ลอริ ชาเวซ-เดอเรเมอร์ (Lori Chavez-DeRemer) เข้าร่วมงานแถลงข่าวด้วย สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่าง McDonald’s กับรัฐบาลทรัมป์ที่เป็นไปในทิศทางบวก แถมยังสะท้อนถึงแนวโน้มการขยายตัวของธุรกิจร้านอาหารที่ McDonald’s ที่คาดว่าจะเปิดเพิ่มอีก 900 สาขาภายในปี 2027 ด้วย
คนอเมริกันลดการกินฟาสต์ฟู้ดเป็น “มื้อเช้า”
อย่างไรก็ดี ข้อมูลจาก Revenue Management Solutions หรือ RMS บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลในอุตสาหกรรมร้านอาหารของสหรัฐอเมริกา พบว่า ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยอดผู้ใช้บริการร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมระบุว่า สาเหตุหลักมาจากปัญหาเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลง
นอกจากนั้น ข้อมูลจาก RMS ยังชี้ว่า ราคาสินค้าในร้านฟาสต์ฟู้ดเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มเงินเฟ้อ ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากลดการใช้จ่ายด้านอาหารนอกบ้าน หันไปซื้อของจากร้านขายของชำแทน โดย 40% ของผู้บริโภคชาวอเมริกันรายงานว่าพวกเขาใช้จ่ายในร้านอาหารน้อยลง
ด้าน McDonald’s เองก็พบว่า บริษัทมียอดขาย (แบบ Same Store) ลดลงในไตรมาสแรกของปี 2025 ถึง 3.6% ซึ่งถือเป็นการลด “ที่มากที่สุด” นับตั้งแต่ปี 2020 (ช่วงการระบาดของโควิด-19)
นอกจากนั้น ยังพบว่า อเมริกันชนมีวิธีการรับประทานอาหารเปลี่ยนไป เห็นได้จากยอดขายมื้อเช้าลดลงมากที่สุดถึง 9.1% ขณะที่มื้อกลางวันลดลง 3.1% ส่วนการรับประทานอาหารเย็นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.2% แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเลือกที่จะออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านในช่วงค่ำนั่นเอง




