ตลาดสุขภาพและความงามอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกระแสการดูแล “สุขภาพ” ที่มาแรงตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนทำให้เรื่องของความงามและสุขภาพกลายเป็นเรื่องเดียวกันสำหรับกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่
วัตสัน ประเทศไทย ผู้ดำเนินร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของไทย เผยทิศทางตลาดปี 2568 ชี้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนครั้งใหญ่ ก้าวข้ามการ “แก้ปัญหาเฉพาะหน้า” สู่การ “ลงทุนเพื่อสุขภาพระยะยาว” (Health Investment) เผยผลสำรวจล่าสุดพบคนไทยกว่า 63% มีงบประจำสำหรับดูแลตัวเอง โดยกลุ่มที่พร้อมจ่ายมากกว่า 3,000 บาทต่อเดือน เติบโตขึ้นถึง 14% ตอกย้ำยุคแห่ง Health Longevity ที่สุขภาพคือความมั่งคั่งที่แท้จริง
คุณนวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปี 2568 วัตสันยังคงตอกย้ำความสำเร็จในฐานะผู้นำที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วย Data-Driven Insight โดยล่าสุดได้เปิดเผยผลสำรวจ “Customer Trend Survey” ประจำไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 จากสมาชิกวัตสันกว่า 4,000 คน ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ เมื่อผู้บริโภคไม่ได้มองสินค้าสุขภาพและความงามเป็นเพียงค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอีกต่อไป แต่มองเป็น ‘การลงทุนระยะยาว’ (Long-term Investment)
“จากการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค เราเห็นภาพชัดเจนว่าลูกค้าเปลี่ยนกรอบความคิด จากเดิมที่ซื้อสินค้าเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กลายเป็นการมองหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ทั้งกาย ใจ และไลฟ์สไตล์ เพื่อเป้าหมายคือการมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (Longevity) ซึ่งข้อมูลนี้ยืนยันว่าการมุ่งสู่การเป็น ‘The Ultimate Holistic H&B Retailer’ ของวัตสันนั้นมาถูกทางแล้ว” คุณนวลพรรณ กล่าว
เปิด 3 อินไซต์ ดันตลาด H&B ไทยโตแรง
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก “วัตสัน” ได้เจาะ 3 อินไซต์สำคัญ ที่กำลังกำหนดทิศทางตลาดสุขภาพและความงามของไทย ดังนี้
1.The Holistic Wellness Era: ยุคแห่งสุขภาพองค์รวม 360 องศา พื้นฐานของ Longevity
เทรนด์การดูแลตัวเองแบบแยกส่วนระหว่าง “สุขภาพ” กับ “ความงาม” ได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยผลสำรวจชี้ว่า ผู้บริโภคกว่า 72% ให้ความสำคัญกับ “สุขภาพ” (Health) มากกว่า “ความงาม” (Beauty) สะท้อนว่า “Health is Beauty” คือนิยามใหม่ที่ผู้บริโภคยึดถือ
นอกจากนี้ ผู้บริโภคกว่า 52% รับประทานวิตามินเป็นประจำเพื่อการดูแลต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การรักษาชั่วคราว โดยเน้นการดูแลจากภายในสู่ภายนอก (Inside-out) ซึ่งกลุ่มสินค้าที่มาแรงและเติบโตอย่างน่าจับตามองได้แก่ Astaxanthin (แอสตาแซนธิน), Collagen Peptides และ CoQ10 ที่ตอบโจทย์การซ่อมแซมระดับเซลล์ โดยเป้าหมายสุขภาพที่ผู้บริโภคให้ความสนใจสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- ควบคุมน้ำหนัก 26%
- เสริมภูมิคุ้มกัน 21%
- การนอนหลับ 20%
- สุขภาพจิต 18%
- การขับถ่าย 15%
ทั้งหมดสะท้อนการ “เสริมสุขภาพเฉพาะกิจ” ไปสู่การ “ดูแลสุขภาพเชิงลึกและสม่ำเสมอ”
2. The Health Investment: จาก ‘ค่าใช้จ่าย’ สู่ ‘พอร์ตลงทุน’ ด้านสุขภาพ
ผู้บริโภคยุคใหม่มองการดูแลสุขภาพเหมือนวางแผนการเงิน โดยเป็น “สินทรัพย์ระยะยาวของชีวิต” ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอีกต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจที่ยืนยันว่า ผู้บริโภคได้จัดสรร “งบประจำเพื่อสุขภาพ” อย่างจริงจัง เหมือนที่เคยกันงบไว้เพื่อความบันเทิงหรือความงาม โดยผลสำรวจระบุว่า
- กว่า 50% ตั้งงบไว้ที่ 1,000 – 3,000 บาทต่อเดือน
- อีก 14% ตั้งงบไว้ “มากกว่า 3,000 บาทต่อเดือน” หรือเทียบได้ว่า มากกว่า 63% ที่มีการลงทุนด้านสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ตัวเลขนี้สะท้อนว่า แม้สภาพเศรษฐกิจจะมีความท้าทาย แต่ผู้บริโภค “ไม่ตัดงบ” ในส่วนนี้ แต่กลับมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ต้องรักษาไว้ เพื่อลดความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในอนาคต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการดูแลสุขภาพกลายเป็น “กิจวัตร” มากกว่าพฤติกรรมชั่วครั้งคราว
3. The Rise of Anti-aging: ‘ริ้วรอย’ แซงหน้า ‘ความขาว’
หนึ่งในสัญญาณที่เด่นชัดที่สุด คือการที่ “ริ้วรอย” แซงหน้า “ผิวขาว” อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ จากเดิมเรื่องของผิวขาวกระจ่างใส เคยเป็นความกังวลหลัก แต่ผลสำรวจของวัตสันในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ยืนยันชัดเจนว่า ผู้บริโภคเกินครึ่งยอมรับว่า “ริ้วรอย” คือความกังวลหลัก ส่งผลให้สินค้า “Anti-aging” ได้รับความนิยมและนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ ทั้งนี้ พฤติกรรมการซื้อไม่ได้ขึ้นกับแบรนด์ แต่ขึ้นกับ “ส่วนผสม” ที่ตรงกับปัญหา สะท้อนว่าผู้บริโภคมีความรู้ด้านสกินแคร์และเข้าใจผิวของตัวเองมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยส่วนผสมที่ได้รับความสนใจสูงสุด ได้แก่
- Hyaluronic Acid (25%) — เติมความชุ่มชื้น ผิวอิ่มฟู ดูสุขภาพดี
- Vitamin C (24%) — ช่วยฟื้นผิวให้ดูสดใส มีชีวิตชีวา
- Retinol (21%) — ลดเลือนริ้วรอย ฟื้นฟูผิวเสื่อมสภาพ
- Niacinamide (17%) — ปรับสมดุลผิว ให้ผิวแข็งแรงขึ้น
- BHA/AHA (14%) — ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ช่วยให้ผิวเรียบเนียน
เมื่อพิจารณาเจาะลึกถึง “วิธีที่ผู้บริโภคใช้ในการชะลอวัย” จะพบภาพสะท้อนที่น่าสนใจว่า ความใส่ใจไม่ได้หยุดอยู่ที่สกินแคร์ แต่ขยายวงกว้างไปสู่พฤติกรรมการดูแลตัวเองแบบรอบด้านในชีวิตประจำวัน โดยพบการกระจายสัดส่วนของกิจกรรมยอดนิยมในการชะลอวัยอย่างสมดุล ได้แก่
- การใช้สกินแคร์ลดริ้วรอย (25%)
- การทานอาหารต้านอนุมูลอิสระ (23%)
- การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรง (22%)
- การรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริม (21%)
ในขณะที่การทำหัตถการเพื่อชะลอวัยมีสัดส่วนเพียง 8% แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการชะลอวัยกำลังกลายเป็น “พฤติกรรมประจำวัน” (Daily Habit) มากกว่าการพึ่งพาวิธีลัดเชิงหัตถการ
ทั้งนี้ เมื่อถามลึกลงไปถึงแก่นแท้ว่า “การชะลอวัยจริงๆ ควรเริ่มจากอะไร” คำตอบของผู้บริโภคส่วนใหญ่ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน คือ “ความงามเหนือวัย เริ่มจากภายในเสมอ” โดย 31% มองว่าคือการมีสุขภาพดีปราศจากโรค, 25% คือการป้องกันความเสื่อมตั้งแต่เนิ่นๆ, 22% คือการดูแลจากภายในสู่ภายนอกและที่น่าสนใจคือ 21% ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตที่ดีและการลดความเครียด
“Anti-aging เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรงแซงโค้ง เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่เรื่องความงามภายนอก แต่เป็นการดูแลจากภายใน ลูกค้าให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะเรื่องของการต้องดูแลจากภายใน ทานอาหารดี ออกกำลังกาย อาหารเสริม และการพักผ่อน เทรนด์ตอนนี้คือ Health is Wealth และเป็นการลงทุนระยะยาว เราจะเห็นประชากรสูงวัย (Aging population) ในไทยเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมี 15% อีกสองปีข้างหน้าจะแตะ 20% ดังนั้นคนจึงเริ่มวางแผนดูแลตัวเองตั้งแต่อายุ 30 ปีเลย ไม่รอให้ถึง 60 ปี”
จับตาตลาดกลุ่มใหม่ ผู้ชาย และ Office Syndrome
นอกจากกลุ่มลูกค้าผู้หญิงซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของวัตสันกว่า 70% แล้ว ฐานลูกค้ากลุ่มผู้ชายเริ่มขยายตัวขึ้นแตะระดับ 20% ซึ่งเป็นผลมาจากความใส่ใจดูแลตัวเองไม่แพ้ผู้หญิง นอกจากนี้ ปัญหาเรื่อง Office Syndrome ยังผลักดันให้สินค้ากลุ่มบรรเทาอาการปวด แผ่นแปะ และอุปกรณ์ Support สรีระ มียอดขายเติบโตควบคู่ไปกับเทรนด์สุขภาพ
“ในยุคที่สุขภาพและความงามกลายเป็นการลงทุนระยะยาว สิ่งที่ทำให้วัตสันเป็นมากกว่าร้านเพื่อสุขภาพและความงาม คือการเป็น ‘เพื่อนที่รู้ใจ’ ที่เข้าใจลึกกว่า มองไกลกว่า และพร้อมช่วยให้ทุกการลงทุนด้านสุขภาพและความงามเป็นก้าวที่คุ้มค่า ถูกทิศทาง และยั่งยืนที่สุด” คุณนวลพรรณ กล่าวทิ้งท้าย