HomeBrand Move !!ผ่าวิชั่นแม่ทัพใหม่ “สิงห์ เอสเตท” ประกาศชัด ทศวรรษที่ 2 ขอสร้างกำไรที่มั่นคง รับมือโลกผันผวน

ผ่าวิชั่นแม่ทัพใหม่ “สิงห์ เอสเตท” ประกาศชัด ทศวรรษที่ 2 ขอสร้างกำไรที่มั่นคง รับมือโลกผันผวน

แชร์ :

หลังนั่งซีอีโอ “บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)” หรือ “Singha Estate” บริษัทลูกในเครือบุญรอด บริวเวอรี่ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ล่าสุด “คุณชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์” ได้ออกมาแถลงวิสัยทัศน์และการขับเคลื่อนธุรกิจ สิงห์ เอสเตทในยุคต่อไปเป็นครั้งแรก โดยย้ำว่าจากนี้ไปจะเน้นสร้างรากฐาน “กำไร” ที่มั่นคงขึ้น ทำไมสิงห์ เอสเตทต้องการสร้างรากฐานกำไรให้มั่นคง และในยุคที่เต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย “คุณชัยรัตน์” จะใช้กลยุทธ์อะไรพาองค์กรไปถึงเป้าหมายนี้ ตามมาถอดวิธีคิดของซีอีโอป้ายแดงไปพร้อมกันเลย

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

10 ปี รายได้เติบโต 10 เท่า

ปีนี้เป็นปีที่ “สิงห์ เอสเตท” มีอายุครบ 11 ปี ซึ่งหากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2014 ตอนนั้นเป็นช่วงที่สิงห์ เอสเตท มองหาธุรกิจหลักอยู่ จึงเริ่มต้นด้วย 3 ธุรกิจหลัก คือ ที่พักอาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรม จากนั้นในปี 2021 ได้ขยายอีก 1 ธุรกิจนั่นคือ ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า ทำให้ปัจจุบันสิงห์ เอสเตทมี 4 กลุ่มธุรกิจหลัก

เมื่อมาดูในแง่รายได้ คุณชัยรัตน์ บอกว่า ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีการเติบโตต่อเนื่อง จากปีแรกที่มีรายได้กว่า 1,000 ล้านบาท เป็น 15,000 ล้านบาทในปี 2024 หรือคิดเป็นการเติบโต 10 กว่าเท่าใน 10 ปี และ 9 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้ 10,480 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจโรงแรม 70% ธุรกิจที่พักอาศัย 20% อาคารสำนักงาน เกือบ 10% ที่เหลือคือ ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจสร้างรายได้แบบประจำ (Recurring Income) ประมาณ 80% และไม่ประจำ (Non-Recurring Income) 20%

แม้ 10 ปีที่ผ่านมาพอร์ตรายได้จะเติบโตตลอด แต่หากมาดูกำไร คุณชัยรัตน์ ยอมรับว่า ความสามารถในการรักษาการทำกำไรยังมีความไม่ต่อเนื่องอยู่ เพราะที่ผ่านมากำไรของบริษัทจะผูกกับธุรกิจที่สร้างรายได้ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปีที่ธุรกิจที่พักอาศัย ไม่ดี จะเห็นกำไรลดลง แต่ถ้าปีไหนเศรษฐกิจดี ธุรกิจที่พักอาศัยไปได้ดี ก็จะเห็นผลกำไรเติบโตมาก

ยกตัวอย่างปี 2019 เป็นปีที่บริษัททำกำไรได้สูงสุดคือ 400 ล้านบาท แต่กำไรที่สูงสุดตอนนั้นเกิดจากธุรกิจที่ไม่ได้สร้างรายได้ต่อเนื่อง แต่พอเกิดโควิด เศรษฐกิจแกว่ง รายได้จากธุรกิจที่พักอาศัยก็ผกผัน ทำให้กำไรปรับลดลงไปด้วย เมื่อเจอกับแรงเสียดทานทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงเร็ว คุณชัยรัตน์ ย้ำว่า “การเติบโตด้านรายได้อย่างเดียวจึงไม่ใช่คำตอบ” แต่สิ่งที่จะทำให้องค์กรรับมือกับความผันผวนต่างๆ ได้ คือ การยืนอยู่บนรากฐาน “กำไร” ที่แข็งแรง นั่นจึงเป็นคำตอบว่าทำไม สิงห์ เอสเตท ในยุคต่อไปต้องการสร้างรากฐานกำไรที่มั่นคง

สร้างสมดุลย์พอร์ตธุรกิจรายได้ประจำ-ไม่ประจำ

คุณชัยรัตน์ บอกว่า ด้วยความที่สิงห์ เอสเตทมีหลากหลายธุรกิจ การจะสร้างกำไรให้เติบโตในทุกสภาวะเศรษฐกิจจึงอยู่ที่การจัดพอร์ตโฟลิโอให้ “สมดุลย์” เพื่อให้ทุกธุรกิจสามารถสร้างรายได้เสริมกันและกันในแต่ละช่วงเวลา

“คำว่าสมดุลย์ ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจที่สร้างรายได้แบบประจำ และไม่ประจำต้องอยู่ในสัดส่วน 50 : 50 แต่เป็นสัดส่วนที่เหมาะสมตามสภาพเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา”

ซึ่งในช่วงที่เศรษฐกิจมีความเปราะบาง ผันผวนสูงนั้น คุณชัยรัตน์ มองว่า สัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำจากธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงานประมาณ 70% เป็นสัดส่วนที่เหมาะสม เพราะจะช่วยสร้างกระแสเงินสดและฐานกำไรให้คงที่ได้ ส่วนธุรกิจที่สร้างรายได้แบบไม่ประจำ จากอสังหาฯ และนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งลักษณะการลงทุนมีระยะเวลาและผลตอบแทนสั้นกว่า ดังนั้น ต้องมีความ “ยืดหยุ่น“ ในการลงทุนตามสภาวะเศรษฐกิจ ในช่วงที่เศรษฐกิจดี สามารถลงทุนได้เต็มที่ เพราะสร้างกำไรได้เร็ว แต่ช่วงที่เศรษฐกิจท้าทาย อาจลงทุนอย่างระมัดระวังและเน้นการลงทุนกับพันธมิตรมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินและการลงทุนได้

“ธุรกิจที่จะทำกำไรในปีหน้าจะเป็นกลุ่มโรงแรมและอาคารสำนักงาน ในขณะที่นิคมอุตสาหกรรม ยังสร้างกำไรให้บริษัทในภาพรวม เพราะเราลงทุนในโรงไฟฟ้า แต่เรื่องการขายที่ดิน อาจต้องใช้เวลา”

ปี 2569 ยังเต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง

ขณะเดียวกัน ทิศทางธุรกิจนับจากนี้ของสิงห์ เอสเตท ยังจะมองหาพันธมิตรที่เหมาะสมและเป็นตัวจริงในตลาดนั้นๆ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ มากขึ้นด้วย โดยในปี 2569 จะเน้นไปที่การขยายโรงแรมเดิม โดยจะกลับมาโฟกัสที่เอเชียแปซิฟิกและไทยมากขึ้นในทำเลและภูมิภาคที่บริษัทรู้จัก รวมถึงกำลังศึกษาธุรกิจส่วนควบกับธุรกิจหลัก

สำหรับปัจจัยเสี่ยงในปี 2569 คุณชัยรัตน์ มองว่า ยังเต็มไปด้วยความท้าทายไม่ต่างจากปีนี้ ทั้งการเมือง, สภาวะเศรษฐกิจ และสงครามการค้า แต่หากโฟกัสมาที่ธุรกิจโรงแรมซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท ปีหน้ายังมีความท้าทายเรื่องปริมาณ เพราะโอกาสที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมา 40 ล้านคน เกิดขึ้นจำกัด ดังนั้น ทุกคนต้องโฟกัสไปที่ “คุณภาพ” ด้วยการเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีการใช้จ่ายต่อหัวสูง ทั้งนักท่องเที่ยวจากยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งบริษัทมีพอร์ตโฟลิโอสำหรับเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้โดยเฉพาะ

ส่วนอาคารสำนักงาน มองเป็นเรื่องโลเคชั่น บรษัทจึงต้องหาวิธีการที่จะทำให้ลูกค้ามาเลือกสิงห์ เอสเตทให้ได้ ขณะที่ธุรกิจที่พักอาศัย ดีมานด์ของบ้านลักชัวรี่หายไปจากตลาดค่อนข้างมาก โดยกลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนลดลง ซึ่งกลุ่มนี้มีทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาน้อยลง และชาวไทยที่ไม่มั่นใจในสถานการณ์หลายอย่าง ยอดขายที่มีอยู่จึงเกิดจากกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่จริง ดังนั้น การทำตลาดที่พักอาศัยลักชัวรี่ในปีหน้า “คุณภาพ” จึงสำคัญ และต้องหาเรียลดีมานด์ให้เจอ ธุรกิจจึงจะไปต่อได้

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE

 

 

 


แชร์ :

You may also like