HomeBrand Move !!SKF เจ้าตลาด “ตลับลูกปืน” ฟันเฟืองเบื้องหลังเศรษฐกิจไทย กับการทรานสฟอร์มสู่ “ผู้ให้บริการโซลูชั่น”

SKF เจ้าตลาด “ตลับลูกปืน” ฟันเฟืองเบื้องหลังเศรษฐกิจไทย กับการทรานสฟอร์มสู่ “ผู้ให้บริการโซลูชั่น”

แชร์ :

ด้วยภูมิทัศน์อุตสาหกรรมโลกเปลี่ยนเร็วกว่าเดิมทั้งเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค SKF ผู้ผลิตตลับลูกปืนในเครื่องจักรและรถยนต์ ต้องปรับตัวครั้งใหญ่จาก “ผลิตและขายสินค้า” สู่การเป็น “ผู้ให้บริการโซลูชั่น” ที่ช่วยแก้โจทย์เชิงธุรกิจของลูกค้าอย่างรอบ เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมไทยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเดินหน้าสู่ความยั่งยืนได้อย่างเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคใหม่

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

จากโรงงานตลับลูกปืนในสวีเดน สู่ฟันเฟืองสำคัญในอุตสาหกรรมโลก

คุณทวิวัชร์ เรืองปัญญาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส เค เอฟ (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มต้นเล่าถึงประวัติของ SKF ว่า ก่อตั้งในปี 1907 ที่เมืองโกเธนเบิร์ก ประเทศสวีเดน โดยชื่อมาจากคำว่า “Svenska Kullagerfabriken” หรือ “โรงงานผลิตตลับลูกปืนเม็ดกลมของสวีเดน” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์แรกเริ่มของบริษัท

ต่อมาการเติบโตของ SKF ยังมีบทบาทสำคัญเบื้องหลังแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น แบรนด์รถยนต์ Volvo ในปี 1926 รวมถึงการเป็นพาร์ทเนอร์ด้านเทคนิคให้ทีม Ferrari ในศึก Formula 1 ตั้งแต่ปี 1947 จนถึงปัจจุบัน ในวันนี้ SKF กลายเป็นแบรนด์ระดับโกลบอลที่มีฐานการผลิตกว่า 70 แห่ง อยู่ใน 130 ประเทศ มีพนักงานมากกว่า 38,000 คน และทำตลาดในกว่า 40 กลุ่มอุตสาหกรรม ตั้งแต่อุตสาหกรรมหนักแบบดั้งเดิมไปจนถึงอวกาศและยานยนต์สมัยใหม่

โดยปัจจุบัน โครงสร้างธุรกิจของ SKF ทั่วโลกปัจจุบันแบ่งเป็น 2 แกนหลักคือ ธุรกิจอุตสาหกรรมทั่วไปประมาณ 70% และธุรกิจยานยนต์ 30%

SKF ประเทศไทย: จากเยาวราชสู่ฮับของภูมิภาค

สำหรับตลาดไทย ความสัมพันธ์ระหว่างอุตสาหกรรมไทยกับ SKF เริ่มต้นมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เมื่อบริษัท East Asiatic จากเดนมาร์กนำตลับลูกปืน SKF เข้ามาจำหน่าย ก่อนที่ในเวลาต่อมา SKF ได้ตั้งบริษัทอย่างเป็นทางการประเทศไทย ในปี 1987 การเติบโตทางธุรกิจในประเทศไทยของ SKF มาจากความร่วมมืออันดีกับดีลเลอร์ที่บางทำเล อย่างเช่น เยาวราชพาร์ตเนอร์บางรายทำงานร่วมกันมาถึง 3 เจเนอเรชั่นแล้ว ด้วยจุดแข็งสำคัญของการเป็น “แบรนด์ระดับพรีเมียม” และ “สินค้านำเข้า 100%”

ทำให้มีฐานลูกค้าเป็นองค์กรขนาดใหญ่ เช่น SKF ประเทศไทย อยู่ในหลายกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หรืออุตสาหกรรมหนักที่ต้องใช้ตลับลูกปืน เช่น อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ อย่าง SCG ที่เป็นพาร์ทเนอร์มายาวนาน จนกระทั่งเซ็ทระบบการสั่งซื้ออัตโนมัติที่เป็น Paperless ทั้งหมดร่วมกัน

นอกจากนี้ยังมีลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำตาล แป้ง ยาง เป็น 3 อุตสาหกรรมที่ประเทศไทยเป็นเบอร์ 1 ของโลก SKF เป็นพาร์ทเนอร์กับโรงน้ำตาลอย่างกลุ่มมิตรผล, KSL Group และกลุ่มไทยรุ่งเรือง Supply ตลับลูกปืนในเกือบทุกกระบวนการผลิตตั้งแต่ตัดอ้อย หีบอ้อย ไปจนถึงสายการผลิตทั้งหมด ซึ่งในอุตสาหกรรมน้ำตาลมีระยะเวลาเปิด-ปิดหีบที่จำกัด สิ่งสำคัญที่สุดลูกค้ากลุ่มนี้มองหาคือความเชื่อมั่น ไม่ให้เครื่องจักรเสียในระหว่างช่วงฤดูการผลิต ซึ่ง SKF มีเซอร์วิสที่เรียกว่า Condition Monitoring ที่สามารถตรวจวัดว่าชิ้นส่วนไหนกำลังจะเสียหายในเวลาเท่าไหร่ เพื่อที่จะทำการเปลี่ยนก่อนเกิดเหตุ และเปลี่ยนชิ้นส่วนให้ทันในช่วงเวลาก่อนปิดหีบอ้อย

ทั้งหมดนี้ทำให้ปัจจุบัน SKFเป็นเจ้าตลาดตลับลูกปืนในประเทศไทย ที่มีมูลค่ารวมประมาณ 25,000 ล้านบาท ด้วยส่วนแบ่งตลาดราว 10–11% แบ่งสัดส่วนรายได้เป็นตลาดสินค้าสำหรับยานยนต์ 50% และสินค้าภายในอุตสาหกรรมทั่วไปอีก 50%

นอกจากนี้ SKF ประเทศไทยยังถูกวางบทบาทให้เป็น “Regional Hub” ของภูมิภาค IASIA (India & Southeast Asia + Australia, New Zealand, Middle East) ผ่านโครงการสร้าง Distribution Center ที่แหลมฉบัง พื้นที่กว่า 40,000 ตร.ม. ซึ่งตั้งอยู่ในเขต Free trade zone เพื่อทำหน้าที่สต็อกและกระจายสินค้าสู่ตลาด SEA พร้อมซัพพอร์ตลูกค้าในไทยเป็นหลัก

จากการขายตลับลูกปืน สู่ “Total Solution”

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้ SKF เป็นผู้นำในวงการ แต่ก็ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี บวกกับความผันผวนทางเศรษฐกิจในปัจจุบันผลักดันให้ SKF ต้องอ่านเกมธุรกิจมองหากลุ่มลูกค้าที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกแห่งอนาคต เช่น พลังงานลม Data Center หรืออุตสาหกรรมอาหาร-เกษตรขั้นสูง ขณะเดียวกันสำหรับลูกค้าดั้งเดิมก็ต้องรักษาไว้ บริษัทจึงวางกลยุทธ์สองขา ตามรูปแบบ K Shape ประกอบด้วย

  • สำหรับเซกเตอร์ที่เติบโตสูง ก็จะนำเสนอสินค้าโซลูชั่นและเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพขั้นสุด
  • สำหรับเซกเตอร์ที่ชะลอ นำเสนอ Solution ที่เน้นยืดอายุการใช้งานของสินทรัพย์ ลดต้นทุนระยะยาว ผ่านบริการ Monitoring และ Remanufacturing

ในกลุ่มรถยนต์ได้เกิด Transformation ครั้งใหญ่ เมื่อรถยนต์ไฟฟ้า(EV Car) ทำให้การใช้งานใช้ชิ้นส่วนตลับลูกปืนลดลง จากเดิมที่ใช้ตลับลูกปืนหลายร้อยจุดในรถ 1 คัน กลายเป็นเหลือเพียง 4 จุด ต่อคันเท่านั้นเท่านั้น ทางออกของ SKF ไม่ใช่การยื้อกับโครงสร้างเดิม แต่คือการพัฒนานวัตกรรม “Smart Bearing” — ตลับลูกปืนที่ฝังเซ็นเซอร์ภายใน ส่งข้อมูลการสั่น การหมุน อุณหภูมิ เข้าสู่ระบบควบคุมรถยนต์หรือเครื่องจักรแบบเรียลไทม์ ทำให้แม้จำนวนชิ้นจะลดลง แต่มูลค่าและบทบาทต่อระบบเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

คุณทวิวัชร์ เรืองปัญญาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส เค เอฟ (ประเทศไทย) จำกัด

ในส่วนของสินค้าสำหรับกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม ก็เดินหน้า “รีโพซิชัน” ตัวเองจาก “ผู้ขายชิ้นส่วน” ไปสู่ “ผู้ให้บริการโซลูชั่น” ด้วยโมเดลธุรกิจที่ไม่ได้จบแค่ขายชิ้นส่วน แต่ขยายไปสู่บริการเชิง Subscription ที่ลูกค้าสามารถเหมาจ่ายให้ทีม SKF เข้าไปตรวจเช็ก เปลี่ยน และวิเคราะห์ปัญหาของตลับลูกปืนแบบต่อเนื่อง ช่วยลด Downtime และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยตรง กลายเป็น “ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ” ของอุตสาหกรรมไทย ตั้งแต่โรงปูน โรงน้ำตาล โรงไฟฟ้าพลังงานลม ไปจนถึง Data Center และเทคโนโลยีใหม่ๆ

รุก Sustainability เปิด “Circular Solution Centre”

จากการยกระดับบทบาทสู่การเป็นโซลูชั่นพาร์ทเนอร์ในโรงงานอุตสาหกรรม SKF ยังต่อยอดแนวคิดเดียวกันไปสู่มิติของ Sustainability ผ่านโครงการและการลงทุนเชิงระบบในประเทศไทยอย่างจริงจัง

SKF เพิ่งเปิดตัว “Circular Solution Centre” ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ศูนย์นี้รองรับการ Remanufacturing ให้กับตลับลูกปืนทุกแบรนด์ ไม่จำกัดเฉพาะ SKF พร้อมเชื่อมต่อกับระบบ Condition Monitoring เพื่อดึงชิ้นส่วนที่มีสัญญาณใกล้เสียออกมาฟื้นฟูได้ตรงเวลา ช่วยให้โรงงานลดทั้งความเสี่ยงการหยุดเดินเครื่อง และลดการใช้ทรัพยากรใหม่ในคราวเดียวกัน

นอกจากนี้ SKF ยังพัฒนานวัตกรรม RecondOil ที่นำจาระบีหรือน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วกลับมาปรับสภาพเพื่อนำไปใช้ซ้ำ ช่วยลดทั้งค่าใช้จ่ายและปริมาณของเสีย ซึ่งแม้ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นทดลองในไทย แต่ก็ถูกนำไปใช้งานจริงในต่างประเทศแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าแนวคิด Circular Economy ไม่ได้อยู่แค่ในวิสัยทัศน์ แต่ถูกแปลงเป็นโซลูชั่นที่จับต้องได้สำหรับลูกค้า

สุดท้ายแล้ว เรื่องราวของ SKF ไม่ได้เป็นเพียงกรณีศึกษาของบริษัทตลับลูกปืน แต่คือบทเรียนของแบรนด์ B2B ที่ใช้จุดแข็งเดิมด้านเทคโนโลยี วิศวกรรม และความน่าเชื่อถือ มาออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ที่สร้างคุณค่าให้ลูกค้าในระยะยาว พร้อมตอบโจทย์เมกะเทรนด์ด้าน Sustainability กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในห่วงโซ่อุตสาหกรรมให้กับประเทศไทยในระยะยาว


แชร์ :