เป็นที่รู้กันดีว่าร้านอาหารบริการด่วน (QSR) เมืองไทยคืออีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีการแข่งขันรุนแรงอย่างต่อเนื่องมานาน หลายแบรนด์โดยเฉพาะแบรนด์ดังจากต่างชาติต่างเร่งปรับตัวเพื่อครองใจลูกค้าท่ามกลางการแข่งขันที่ร้อนระอุ
“แมคโดนัลด์ ประเทศไทย” คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ความสำเร็จตลอด 4 ทศวรรษที่ไม่ใช่แค่ร้านอาหารบริการด่วนไว้คอยบรรเทาความหิว หากแต่คือส่วนของของชีวิตประจำวันที่พร้อมขับเคลื่อนไปกับลูกค้าตลอดทั้งวันตั้งแต่มื้อเช้าไปจนถึงมื้อดึก ตั้งแต่โจ๊ก เบอร์เกอร์ ไก่ทอด เมนูข้าวและของหวานต่างๆ
ในโอกาสครบรอบ 40 ปีในประเทศไทย McDonald’s ไม่เพียงแค่จัดนิทรรศการสุดยิ่งใหญ่ พร้อมพาเมนูในตำนานอย่าง ‘ข้าวแมคน้ำตก’ ‘ส้มตำเชค’ และ ‘เจลลี่ทริปเปิ้ลโอ’ กลับมาให้หายคิดถึง แต่ยังเผยกลยุทธ์ที่ทำให้แบรนด์ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งมาตลอด 4 ทศวรรษ และแผนการเติบโตที่ไม่หยุดนิ่ง
เปิดเส้นทาง 40 ปี “แมคโดนัลด์” ในไทย สู่การเติบโตแบบ Local to Global
“แมคโดนัลด์” เข้ามาทำตลาดในไทยครั้งแรกในปี 1985 สาขาแรกตั้งอยู่ที่อัมรินทร์พลาซ่า (เกสร อัมรินทร์ในปัจจุบัน) จากนั้นก็ขยายสาขามาอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดตัวตัวโมเดล Drive Thru ครั้งแรกในปี 1990 และในปี 2002 เปิดตัวทูตวัฒนธรรม “สวัสดีโรนัลด์” Brand Ambassador หุ่นโรนัลด์พนมมือไหว้ครั้งแรก ซึ่งทำหน้าที่เสมือนทูตวัฒนธรรมที่คนจากทุกสารทิศต้องมาถ่ายภาพ เช็คอิน และโพสต์ลงโซเชี่ยลว่ามาถึงเมืองไทยแล้ว และในปี 2002 ก็ได้มีการเปิดบริการ “ดีลิเวอรี่” ขึ้นเป็นครั้งแรกเช่นกัน
ตลอดระยะเวลาการทำตลาดในไทยบริษัทใช้กลยุทธ์ต่างๆในการสร้างความหลากหลายเพื่อเจ้าไปอยู่ในใจลูกค้า จนสามารถครองความเป็นผู้นำในตลาดร้านอาหารบริการด่วนได้สำเร็จ โดยมีกระแสต่างๆมากมาย โดยหนึ่งในความภาคภูมิใจของแมคไทยคือการสร้างสรรค์เมนูที่ไม่ได้เป็นที่นิยมแค่ในประเทศ แต่ยังถูกนำไปต่อยอดในตลาดต่างประเทศอีกด้วย
- ซามูไรเบอร์เกอร์: เมนูนี้เกิดจากการคิดค้นและริเริ่มโดยทีมผู้บริหารในประเทศไทยในปี 1993 จนกลายเป็นเมนูยอดนิยม และถูกประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียนำไปปรับซอสให้เข้ากับรสชาติของผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ
- พายข้าวโพด และพายสับปะรด: ถือเป็นเอกลักษณ์ของแมคไทยอย่างแท้จริง ในขณะที่ต่างประเทศนิยมพายแอปเปิ้ลซินนามอน แต่แมคไทยเลือกที่จะพัฒนาไส้พายที่ถูกจริตคนไทย จนกลายเป็นเมนูที่ขายดีต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน
แม้ปัจจุบันแมคโดนัลด์จะมีเมนูที่ผสมผสานความเป็นไทยเข้าไป แต่ คุณกิตติวรรณ อนุเวชสกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมคไทย จำกัด บอกว่า แม้ในประเทศไทยจะมีการพัฒนาเมนูที่ผสมผสานความเป็นโลคัลเข้าไป แต่ทว่าพอร์ตหลักแบรนด์ยังคงให้น้ำหนักกับการพัฒนาหรือโฟกัสการทำตลาดไปที่เมนูเบอร์เกอร์และไก่ ซึ่งเป็นคอร์เมนูอยู่
4 ปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factors) ตลอด 40 ปี
คุณกิตติวรรณ อนุเวชสกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมคไทย จำกัด เผยว่า ความสำเร็จของแมคโดนัลด์ตลอด 40 ปีที่ผ่านมาเกิดจากการยึดมั่นใน 4 ปัจจัยหลัก หรือ Key Success Factors ได้แก่:
- อาหาร (Food): คุณภาพและความปลอดภัยของวัตถุดิบคือหัวใจสำคัญตามมาตรฐานระดับโลก เพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า
- การบริการ (Service): พนักงานทุกคนให้บริการด้วยความจริงใจและตั้งใจ เพื่อสร้างประสบการณ์และโมเมนต์พิเศษให้ลูกค้า
- ความสะอาดและปลอดภัย (Cleanliness & Safety): ร้าน McDonald’s ต้องเป็น “ที่พักพุงและที่พึ่งพิง” ที่สะอาด ปลอดภัยสำหรับลูกค้าทุกเพศทุกวัย ตลอด 24 ชั่วโมง
- ความคุ้มค่า (Value): การนำเสนอความคุ้มค่าผ่านเมนูต่างๆ เช่น ชุดสุดคุ้ม 99 บาท หรือโปรโมชั่น 1 แถม 1 เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกๆ วัน
“เรายึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) เสมอ ทุกการตัดสินใจของแมคโดนัลด์จึงเริ่มจากความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก” นางสาวกิตติวรรณ กล่าว
แผนการเติบโตที่ไม่หยุดนิ่ง เดินหน้าขยายสาขาทุกเดือนถึงสิ้นปี 2568
อย่างไรก็ดีแม้ภาพรวมตลาดร้านอาหารจะมีความท้าทายสูง แต่ McDonald’s มองเห็นโอกาสและเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่องด้วยแผน เปิดสาขาใหม่ “ทุกเดือน” จนถึงสิ้นปี 2568 ในทั้งกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ทั่วประเทศ เช่น พัทยาและภูเก็ต ปัจจุบันมีร้านกว่า 240 สาขาทั่วประเทศ โดยสาขาล่าสุดตั้งอยู่ที่ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ชั้น 5 พร้อมกันนี้ ยังปรับปรุงร้านเก่าให้ทันสมัยด้วยโครงการ Experience of the Future (EOTF) ที่ติดตั้ง Self-ordering Kiosk ครบ 100% ทุกสาขา สร้างประสบการณ์ที่รวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น
คุณกิตติวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายและเราต้องคอยดูสถานการณ์ต่างๆ แต่ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่เราก็ต้องดูว่าเรามีแผนงานที่จะเติบโตได้หรือไม่ ถ้าเรามีแผนงานที่จะเติบโตได้ในประเทศไทย เราต้องวิ่งต่อ เราไม่เคยหยุด ทำต่อเนื่อง เรามีอะไรใหม่ทุกเดือน และแน่นอนในส่วนของสาขาใหม่เมื่อมีโอกาสเราก็ต้องคว้า แต่ท่ามกลางความท้าทายเราต้องรู้จักสังเกต แม้แต่กระพริบตาก็ยังทำไม่ได้ สุดท้ายเรามองว่าทุกอย่างคือโอกาสไม่ใช่อุปสรรค หากเรามองปัจจัยแวดล้อมเป็นอุปสรรคมากกว่าโอกาสเราก็จะไม่เติบโต และไม่ประสบความสำเร็จ”







