HomeBrand Move !!ถอดบทเรียน 2 ปี ของ Dragonfly Summit 2025 กับก้าวต่อไป สู่การปลุกผู้นำพลังบวกรับมือทุกการเปลี่ยนแปลง

ถอดบทเรียน 2 ปี ของ Dragonfly Summit 2025 กับก้าวต่อไป สู่การปลุกผู้นำพลังบวกรับมือทุกการเปลี่ยนแปลง

แชร์ :

คุณซินดี้ – สิรินยา บิชอพ, คุณแพม-ประนัปดา พรประภา และคุณวู้ดดี้ – วุฒิกร มิลินทจินดา

หลายปีมานี้ “การพัฒนาตัวเอง” กลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมทั้งจากผู้นำและคนทำงานที่ต้องการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น จนทำให้อุตสาหกรรมการพัฒนาตัวเองเติบโตขึ้นตามไปด้วย โดย “Dragonfly Summit” เป็นหนึ่งในเวทีสัมมนาด้านการพัฒนาศักยภาพของผู้นำที่จัดมาเพียงไม่กี่ปี แต่สามารถดึงดูดผู้คนที่ต้องการพัฒนาตัวเอง และผู้ที่สนใจด้าน Wellness มารวมตัวกันอย่างมากมาย โดยในปีที่ผ่านมามีผู้ร่วมงานกว่า 2,000 คน และในปีนี้กำลังจะกลับมาเปิดเวทีปลุกพลังบวกกันอีกครั้ง

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

Dragonfly Summit มีดีอะไร? จึงดึงคนมาร่วมงานได้ขนาดนี้ Brand Buffet ชวนไปฟังแนวคิด และบทเรียนการปั้นธุรกิจอีเวนต์ จาก 3 ผู้ร่วมก่อตั้ง Dragonfly360 “คุณแพม-ประนัปดา พรประภา” “คุณซินดี้ – สิรินยา บิชอพ” และ “คุณวู้ดดี้ – วุฒิกร มิลินทจินดา” พร้อมเส้นทางนับจากนี้ของ Dragonfly Summit

ต่อยอดสู่ LEAD WELL มากกว่างานสัมมนา แต่คือ คอมมูนิตี้ปลุกผู้นำพลังบวก

จุดเริ่มต้นของ Dragonfly Summit เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจตั้งต้นของคุณประนัปดาที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการผลักดันความเท่าเทียมของผู้หญิง (Women’s Empowerment) เพราะเห็นว่าประเทศไทยมีผู้หญิงทำงานในระดับ C-Suite มากขึ้น แต่เอาเข้าจริง สิทธิกลับไม่ได้มากเท่ากับผู้ชาย ทำให้อยากทำอีเวนต์เรื่องนี้ จึงนำไอเดียมาคุยกับคุณสิรินยา และคุณวุฒิกร เพราะเห็นว่าทั้งคู่สนใจเรื่องความเท่าเทียมทางเพศและรณรงค์เรื่อง #Don’tTelMeHowToDress จึงเกิดไอเดียนำ 3 สิ่งนี้มารวมกันจนเป็นอีเวนต์ชื่อ “Dragonfly” หรือ “แมลงปอ” เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2019 เพื่อนำเสนอมุมมองที่หลากหลายให้ผู้ร่วมงานได้เรียนรู้

“แมลงปอ สามารถบินขึ้นลงได้แบบ 360 องศาเหมือนเฮลิคอปเตอร์ และเมื่อเกิดพายุหรือวิกฤต มันจะรวมตัวกันแล้วส่งพลัง จนพายุสงบ จึงแยกย้าย เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ของตนเองไม่ให้สูญสลาย จึงเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”

คุณประนัปดา และคุณวุฒิกร อธิบายความหมายของชื่อ และบอกว่าการจัดงานครั้งแรกได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์เกือบ 50 ราย และมีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อกลับมานั่งคิด ทำให้พบว่า แม้ผู้หญิงจะมีบทบาทเพิ่มขึ้น แต่คนที่มีอำนาจตัดสินใจคือ ผู้นำ ประกอบกับช่วงโควิด ทำให้โลกผันผวนสูงและซับซ้อนมากกว่าที่เคย รวมถึงเกิดเทรนด์ Wellness มากขึ้น จึงมองว่าการใช้ชีวิตในโลกยุคนี้ต้องมีเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนตัวเอง ควบคู่กับการดูตัวเองให้แข็งแรงด้วย เพราะหากร่างกายแข็งแรง ก็จะส่งผลให้การคิด การตัดสินใจ และทำงานได้มีประสิทธิภาพ

คุณสิรินยา บอกว่า ปีที่ผ่านมาจึงรีแบรนด์มาสู่แนวคิด “LEAD WELL” โดยเป็นการหลอมรวมคำว่า Leader และ Wellbeing เข้าด้วยกัน ซึ่งคำว่า Wellness ไม่ได้จำกัดแค่สปา และ Medical Wellness แต่ยังหมายรวมถึงการดูแลตัวเอง การเยียวยาจิตใจ (Holistic Health) ส่วน Leader ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำองค์กรเท่านั้น แต่รวมถึงคนที่อยากลุกขึ้นมาพัฒนาตัวเองเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน

นั่นเลยทำให้ Dragonfly Summit แตกต่างจากเวทีสัมมนาอื่นๆ เพราะไม่ใช่เวทีสัมมนาที่ให้ความรู้เพียงอย่างเดียว แต่คุณวุฒิกร บอกว่า เวทีนี้จะให้ทั้งความรู้ ความบันเทิง และพลังบางอย่างเพื่อนำไปปรับใช้ให้ชีวิตดีขึ้น ทำให้ปีที่ผ่านมาจึงมีผู้เข้าร่วมสัมมนากว่า 2,000 คน และผู้ที่มางานก็ไม่ได้จำกัดแค่ผู้นำ แต่มีความหลากหลาย ทั้งคนที่ต้องการพัฒนาตัวเอง อยากรู้ และเปิดรับกับมุมมองใหม่ๆ

หยิบบทเรียนพัฒนาอีเวนต์ให้สอดรับตลาด

นอกจากรูปแบบการจัดอีเวนต์ที่ให้ประสบการณ์แตกต่างแล้ว คุณประนัปดา บอกว่า “Speaker” เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ดึงคนให้มาร่วมงานนี้ เพราะการจัดงานแต่ละครั้งจะเชิญผู้นำทางความคิดจากทั่วทุกมุมโลก และหลากหลายสาขา ทั้งศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา และนักพูดมารวมตัวกัน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นภาพครบทุกมิติและนำไปปรับใช้ในชีวิตได้ ซึ่งการเชิญผู้นำแต่ละคน แม้จะท้าทาย แต่ด้วย Passion ในเรื่องเดียวกัน จึงทำให้กลายเป็นเรื่องง่าย และบางคนเดินทางมาเอเชียเป็นครั้งแรกเพื่องานนี้

ทั้งหมดจึงเป็นส่วนผสมที่ทำให้ภาพลักษณ์ของ Dragonfly Summit ชัดเจนขึ้น และเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคเมื่อนึกถึงเวทีรวมพลังผู้นำด้านการพัฒนาตัวเองมากขึ้น

แต่คุณประนัปดา ยอมรับว่า กว่าจะปลุกปั้นธุรกิจอีเวนต์ให้เป็นที่ยอมรับมาถึงวันนี้ ก็มีสิ่งให้เรียนรู้มากมาย สิ่งแรกคือ ทีมงานค่อนข้างเล็กมีเพียง 10 คนเท่านั้น จึงค่อนข้างกดดัน เพราะคนทำงานต้องมีทั้งทักษะและความสามารถในการควบคุมงาน อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายที่มาร่วมงาน ตอนแรกคิดว่าเป็นผู้ฟังทั่วไปที่อยากพัฒนาตัวเอง แต่ปรากฎว่าหลากหลายมาก และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มองค์กร

ขณะเดียวกันหลายคนมักมองว่า สิ่งสำคัญของการทำอีเวนต์แบบนี้อยู่ที่ Speakers ต้องเจ๋ง หัวข้อสัมมนาต้องดี แต่ คุณวุฒิกร บอกว่าพอจัดงานจริงๆ กลับพบว่า คอมมูนิตี้ก็เป็นแม่เหล็กชั้นดี ทำให้ต้องบาลานซ์ระหว่างรูปแบบงาน และ Speakers ให้ดี รวมถึงนำบทเรียนเหล่านี้มาพัฒนาอีเวนต์ให้ดีขึ้นและสอดรับกับความต้องการของผู้ร่วมงาน

ผู้นำยุคใหม่ ไม่ใช่แค่รู้เยอะ แต่ต้อง “FLOW” ให้เป็น 

ในปีนี้ Dragonfly Summit 2025 จึงยังอยู่ภายใต้แนวคิด LEAD WELL แต่มาในธีม “FLOW” เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการ “ปล่อยวาง” เพราะผู้นำส่วนใหญ่มักถูกฝึกให้ควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามแผน แต่ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วิธีคิดแบบนี้ทำให้ใช้พลังงานสูง และอาจทำให้หมดแรง เพราะเหมือนเราต้านกระแสน้ำ แต่ FLOW คือ การปล่อยให้สิ่งต่างๆ เดินไปตามจังหวะ ซึ่งจะทำให้เข้าใจปัญหาต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น และสามารถนำพลังงานมารับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“การเป็นผู้นำยุคนี้ ไม่ใช่มีแค่ความรู้อย่างเดียว แต่ต้องรู้จักยืดหยุ่น เปิดใจรับฟัง และจัดสรรพลังงานที่มีจำกัดให้เกิดประโยชน์มากที่สุด” คุณวุฒิกรย้ำถึงคุณสมบัติของผู้นำยุคนี้

พร้อมกันนี้ ยังยกระดับประสบการณ์อีเวนต์ให้มีความหลากหลายเพื่อตอบความต้องการของผู้เข้างาน โดยแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ โซนแรกคือ โซนให้ความรู้แน่นๆ จากผู้นำความคิดระดับโลกด้าน Leadership และ Wellbeing โซนที่ 2 เป็นเวิร์คช้อปกลุ่มย่อยๆ ด้าน Wellness ที่ผู้ร่วมงานสามารถเลือกเข้าได้ตามความสนใจ และโซนที่ 3 เป็นพื้นที่พบปะแลกเปลี่ยนมุมมองกับเพื่อนๆ ซึ่งจะช่วยให้เวทีสัมมนานี้ไม่น่าเบื่อ และคนมาร่วมงานก็ได้รับความรู้และพลังงานดีๆ กลับไปดูแลตัวเองอย่างมีคุณภาพ

สำหรับทิศทางในอนาคต คุณประนัปดา มีเป้าหมายชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น ผ่านการจัดเวที Dragonfly Summit เป็นหลัก เนื่องจากสถานการณ์ทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก และมีความไม่แน่นอนสูง แต่หากมีโอกาส ก็มีแผนจะพัฒนาเป็นหลักสูตรผู้นำเพื่อเทรนนิ่งให้กับองค์กรต่างๆ และขยายการจัดงานไปสู่ประเทศอื่นๆ ต่อไป

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE


แชร์ :

You may also like