เมื่อโควิด-19 ที่กลายเป็น “ตัวเร่ง” ให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ร้านอาหารหลายเจ้าหันมาปรับเมนูเพื่อสุขภาพ และผู้บริโภคมีความรู้เรื่องอาหารลึกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
กลายเป็นจุดเปลี่ยนของร้านอาหารสุขภาพใทยเกิดขึ้นหลังการระบาดของโควิดผ่านพ้นไป เทรนด์สุขภาพกลายเป็นสิ่งที่มาแรง ผู้บริโภคมองหาสินค้าสุขภาพเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ รวมไปถึงอาหารที่รับประทานเข้าไปด้วย “สลัดแฟคทอรี่” (Salad Factory) คืออีกหนึ่งร้านอาหารเพื่อสุขภาพในเครือซีอาร์จี ที่เดินเกมรุกตลาด พร้อมทั้งปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการและเทรนด์ร้านอาหารในยุคที่สุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกบริโภคของลูกค้า
ชูจุดแข็ง Friendly Restaurant “ทานได้ทุกวัน” เริ่มต้น89 บาท “ไม่มี VAT ไม่มี Service Charge” รับดีมานด์ลูกค้า
คุณปิยะ ดั่นคุ้ม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรีนฟู้ด แฟคทอรี่ จำกัด ในเครือซีอาร์จี กล่าวว่า แนวโน้มร้านอาหารสุขภาพยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังผ่านช่วงโควิด ตลาดอาหารสุขภาพในไทยมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด จากมูลค่าเพียง 1,100 ล้านบาทในปี 2564 และเพิ่มเป็น 4,500 ล้านบาทในปี 2567 ที่ผ่านมา ขณะที่ปีนี้คาดการณ์ว่าจะพุ่งแตะ 5,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย 15-20% ต่อปี
ปัจจุบันตลาดเข้าสู่ “เฟส 2” ของการแข่งขันในตลาดร้านอาหารสุขภาพซึ่งเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน ผู้เล่นในตลาดขยายตัวมากกว่า 20 แบรนด์ จากเดิมที่มีเพียงไม่กี่ราย ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็มีความรู้เรื่องโภชนาการ และเลือกอาหารที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์มากขึ้น
“เศรษฐกิจไม่ใช่ปัจจัยหลักของคนที่เข้ามาทานอาหารสุขภาพ ดังนั้นสิ่งที่เราให้ความสำคัญจากนี้คือเรื่องของจุดยืนของแบรนด์ ที่เป็น “อาหารสุขภาพทานได้ทุกวัน” ด้วยเมนูกว่า 300 รายการ ราคาเริ่มต้นเพียง 89 บาท ไม่มี VAT ไม่มี Service Charge และมีความ Friendly Restaurant ราคาเข้าถึงได้”
ขณะที่แนวโน้มตลาดร้านอาหารสุขภาพในอีก 3 ปีข้างหน้าอัตราการเติบโตจะอยู่ที่ราว 10-20% ต่อปี แต่หลังจากระยะ 3 ปีไป “คุณปิยะ” มองว่าหลังจากนี้ไปฐานของตลาดจะมั่นคงขึ้น และการเติบโตจะเริ่มนิ่งอัตราการเติบโตอาจจะไม่ก้าวกระโดดอย่างในปัจจุบัน เพราะด้วยมูลค่าที่เพิ่มขึ้น คู่แข่งที่มากขึ้น นั่นทำให้ “สลัดแฟคทอรี่” กางแผนงานเพื่อรองรับแนวโน้มดังกล่าวอย่างรอบด้านในทุกมิติ
“ในตลาดอาหารสุขภาพคนยินดีจ่ายมากกว่าร้านอาหารปกติอยู่แล้ว โดยปัจจุบันจ่าย 150-200 บาทต่อคน ส่วนของแบรนด์อย่างที่กล่าว 200-300 บาทต่อคน คนรู้ว่าอาหารคุณภาพคืออะไร แน่นอนธุรกิจอาหารสุขภาพไม่ได้แข่งด้านราคาอยู่แล้วเนื่องจากผู้บริโภคมีความรู้ความเข้าใจว่าอาหารสุขภาพคืออะไรและมีที่มาที่ไปอย่างไร? นั้นทำให้เรา เร่งเดินเกมผ่านความคุ้มค่า คุณภาพ ราคาที่เข้าถึงได้ ตลอดจนการจับมือพันธมิตรพัฒนาเมนู บริการใหม่ๆออกมา และนั่นคือ Ultimate Goal ของเรา” คุณปิยะกล่าว
ผนึก SPure ชูแนวคิด “Japanese Twist”เพิ่มลูกเล่น “อาหารญี่ปุ่น” เจาะกลุ่มคนเมือง
หนึ่งในกลยุทธ์ที่ “สลัดแฟคทอรี่” นำมาใช้ในการสร้างการเข้าถึงลูกค้าคือการพัฒนาเมนูใหม่ๆ ตามเทรนด์ “Salad Factory” เดินหน้าเกมธุรกิจอาหารสุขภาพเต็มกำลัง ประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับ “S-Pure” แบรนด์วัตถุดิบพรีเมียมจากเครือเบทาโกร ต่อเนื่องในปีที่ 2 หลังจากได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามในแคมเปญปีที่ผ่านมา ซึ่งสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 200% สลัดแฟคทอรี่ จึงสานต่อความร่วมมือในปีนี้พร้อมยกระดับคุณภาพเมนูสุขภาพด้วยวัตถุดิบนำเข้า และสูตรอาหารแนวญี่ปุ่นใหม่ๆ หวังตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ และเจาะตลาดสุขภาพที่กำลังโตแรงต่อเนื่อง
คุณปิยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้มองเห็นศักยภาพจากคอร์แวลู่ของทั้งสองที่ คุณภาพ ความปลอดภัย และอาหาร_อร่อย สร้างจุดแข็งให้เข้มข้น สร้างการเข้าถึงตั้งแต่ราคาไปจนถึงความต้องการต่างๆ การทวิสต์มาอาหารญี่ปุ่น เพราะอาหารญี่ปุ่นในไทยได้รับความนิยม และแบรนด์มองหาอะไรใหม่ๆจากญี่ปุ่นอยู่เสมอ ใช้ไก่พรีเมี่ยม วัตถุดิบนำเข้าตั้งแต่ยูซุ น้ำงาดำ มิโซะซอสฯลฯ
การจับมือกับ S-Pure ในครั้งนี้เพื่อพัฒนาเมนูใหม่ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงจากโดยเฉพาะ “เมนูอกไก่” เมนูยอดนิยมของลูกค้า มาพัฒนาเมนูใหม่เพื่อตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ด้วยการแตกไลน์เมนูใหม่โดยหยิบแรงบันดาลใจจากอาหารญี่ปุ่นที่ยังคงได้รับความนิยมในไทยต่อเนื่อง ผ่านแคมเปญ “อกไก่ฉ่ำ So Yummy” ภายใต้แนวคิด “Japanese Twist” ใช้วัตถุดิบนำเข้า อาทิ ซอสมิโซะ น้ำส้มยูซุ น้ำงาดำ และวัตถุดิบโปรตีนเกรดพรีเมียม เพื่อสร้างความแปลกใหม่ แต่ยังคงตอบโจทย์สายสุขภาพ
สำหรับ 5 เมนูใหม่ที่จะวางจำหน่านตั้งแต่ 2 มิถุนายน – 3 สิงหาคม 2568 ที่ร้านสลัดแฟคทอรี่ ทุกสาขา ได้แก่ 1.คัตสึอกไก่ซอสนากาโนะมิโซะ 2.สลัดครันชี่อโวคาโดอกไก่ย่าง 3.สปาเก็ตตีเมนไทโกะอกไก่ย่างมิโซะ 4.สเต็กอกไก่ย่างซอสเห็ดญี่ปุ่น 5.ชิบูย่าชิกเก้นโทสต์ซอสแบล็กยูซุ
กลยุทธ์ทั้งหมดเพื่อตอบโจทย์ 3 กลุ่มเป้าหมายใหญ่ของแบรนด์ ที่ประกอบไปด้วย
- ลูกค้าประจำสายเฮลท์ตี้ – กลุ่มที่ทานอาหารสุขภาพเป็นกิจวัตร
- Gen Z – คนเมืองรุ่นใหม่ – กลุ่มที่เริ่มตื่นตัวเรื่องโภชนาการ
- ครอบครัวและผู้สูงวัย – ครอบครัวใหญ่ที่มองหาอาหารที่ดีต่อสุขภาพทั้งครอบครัว
โดยปัจจุบันลูกค้ามียอดรับประทานเฉลี่ย 200-300 บาทต่อคน เข้ามาใช้บริการ 2-3 ครั้งต่อเดือน มียอดจับจ่ายต่อบิลเติบโตขึ้น ลูกค้ากว้างขึ้น ให้คนเข้ามาทานมากขึ้น ถี่ขึ้น นอกจากการยังตั้งเป้าขยายสาขาจาก 48 เป็น 54 สาขา ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ รองรับการเติบโตของดีมานด์กลุ่มสุขภาพ นอกจากนี้ยังจะขยายไปยังต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวเพิ่มเติมอีกด้วย
“ความท้าทายของเราคือคือการขยายสาขาไปต่างจังหวัด ที่ต้องแข่งกับคนที่ทำทานเองที่บ้าน แน่นอนพฤติกรรมจะค่อนข้างต่างจากคนเมือง หลายคนหากอยากได้อาหารสุขภาพทานมักจะเลือกทำเอง โดยจากนี้ไปจะใช้จุดแข็งความสะดวกรสชาติ คุณภาพ ความคุ้มค่าคุ้มราคา เข้าไปเจาะในเขตจังหวัดท่องเที่ยว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น”
นอกจากนี้ กลุ่ม Non-Restaurant อย่าง “น้ำสลัดบรรจุขวด” ก็เติบโตต่อเนื่อง ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 52 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าเติบโตเท่าตัวแตะ 100 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมธุรกิจปีนี้คาดการณ์ว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 15-20%







