เดินทางมาจนถึงปีที่ 10 แล้ว สำหรับ Maguro Group เชนร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมี่ยมสัญชาติไทยที่เติบโตจนกลายบริษัทมหาชน มีรายได้กว่า 1,378 ล้านบาทในปี 2567 จนกลายเป็นหนึ่งในเชนร้านอาหารที่แข็งแกร่งของเมืองไทย โดยเฉพาะในตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท
ท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันของตลาดร้านอาหารเมืองไทย โดยเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่นที่กลายเป็น Red Ocean ซึ่งสถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารโดยรวมปี 2568 คาดการณ์ว่าจะเติบโตไม่มาก โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า มูลค่าตลาดรวมจะอยู่ที่ 646,000ล้านบาท เติบโต 2.8% จากปีก่อนหน้า
ทำให้หลายค่ายต่างเริ่มมองหาตลาดใหม่ๆ และปรับตัวเพื่อความอยู่รอด Maguro Group เล็งเห็น Blue Ocean ในตลาด จึงเลือกต่อยอดไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นแบบเฉพาะตัวที่เป็นเซกเมนต์ที่คนไทยนิยม แต่หนี Red Ocean ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ที่มีความเฉพาะตัวและเอกลักษณ์มากขึ้น กับแบรนด์น้องใหม่ BINCHO (บินโช) ร้านอาหารญี่ปุ่นย่างบถ่านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ที่ไม่ใช่อิซากายะ เพียงอย่างเดียวหากแต่มีการเสิร์ฟแบบเทโชกุ หรือแบบเซ็ตที่ครบทั้งข้าว เนื้อสัตว์ เครื่องเคียง ไปจนถึงซุปต่างๆ โดยชูคอนเซ็ปต์ราคาเข้าถึงได้ เจาะตลาดพรีเมี่ยมแมสเป็นหลัก
นับเป็นแบรนด์ที่ 6 ภายใต้การบริหารงานของ Maguro Group โดยจะเปิดให้บริการเป็นแห่งแรกที่ ศูนย์การค้าเมกา บางนา ในวันที่ 9 ก.ค. 68 นี้ก่อนจะขยายสาขาต่อไปในอนาคต
เปิด 9 ที่มาของ BINCHO (บินโช) แบรนด์น้องใหม่ ลำดับที่ 6 ของเครือ Maguro Group
1.คุณจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในยุคที่เศรษฐกิจค่อนข้างชะลอตัว ผู้บริโภคมองหาความคุ้มค่า การเสิร์ฟแบบครบเซ็ต ที่มีสารหาอารครบเซ็ตเดียวกับในราคาที่เข้าถึงได้ คือหนึ่งปัจจัยสำคัญในการทำตลาด รองรับพฤติกรรมลูกค้าและยังแก้ Pain Point ของลูกค้ายุคใหม่ที่ต้องการความคุ้มค่าคุ้มราคาที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจในยุคนี้ จึงเป็นที่มาของการมองหาแบรยนด์ใหม่ๆ ที่ครบทุกความต้องการของลูกค้า แต่ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวไว้ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้

คุณจักรกฤติ สายสมบูรณ์
2.จุดเริ่มต้นของ BINCHO ย้อนไป 7 ปีที่ผ่านมา “คุณจักรกฤติ” และผู้ก่อตั้ง Maguro Group เดินทางไปยังชนบทของญี่ปุ่น จนค้นพบ วิธีการย่างแบบชนบทดั้งเดิม ที่ใช้ลานบ้านเปรียบเสมือนเป็นห้องรับแขกมีการตั้งเตาอิโอริไว้กลางบ้าน (ยุคเอโดะ) เพื่อย่างอาหารโดยใช้ถ่านไม้โบราณ มีกาน้ำตั้งอยู่ข้างบน จึงเห็นโอกาสของการนำอาหารญี่ปุ่นดังกล่าวเข้ามาทำตลาด และพัฒนาเป็นชื่อแบรนด์ ที่มาพร้อมรูปแบบการเสิร์ฟเป็นรูปแบบเทโชกุ (อาหารชุด) ซึ่งเป็นการฉีกจากร้านอื่นๆที่มักนำเทคโนโลยีเข้ามามากกว่าในปัจจุบัน แต่ร้านจะเลือกผสานความรู้สึกด้านวัฒนธรรม ความสนุกรู้สึกร่วมในการปรุงอาหาร เข้ามาดึงดูดลูกค้า
3.ชื่อ BINCHO (บินโช) เป็นรากศัพทท์ มาจากคำว่า “ถ่านไม้ขาว” ของญี่ปุ่น เป็นการสื่อสารว่าใช้ถ่านโบราณจากญี่ปุ่นในการปรุงอาหาร ไฮไลต์ของร้านคือการนำอาหารญี่ปุ่นสไตล์ย่างถ่านแบบดั้งเดิมมาคอยบริการ โดยมีการนำเตาย่างอิโอริ และ โรบาตายากิ เข้ามาเป็นกิมมิกในร้าน
“แม้เตาอิโอริ จะไม่ใช่ครั้งแรกของวงการอาหารญี่ปุ่นในไทย แต่ส่วนใหญ่ร้านที่ใช้เตาแบบนี้ในไทยมักเป็นร้านอิซากายะ ซึ่งมีราคาค่อนข้างแพง เสิร์ฟจานเล็ก แต่ที่ร้านเรา (บินโช) จะเน้นเป็นอาหารครบเซ็ต เน้นสมดุลด้านอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นโบราณให้ความสำคัญ และยังสอดคล้องกับเทรนด์การดูแลสุขภาพที่ต้องทานอาหารให้ครบหมู่อีกด้วย”
4.ส่วนจุดขายสำคัญของแบรนด์คือ ราคาเริ่มต้นที่ 170 บาท และ 30 บาทสำหรับเมนูย่างเสียบไม้ ไปจนถึงปลานำเข้าราคากว่า 400 บาท ซึ่งถือว่าเน้นเจาะกลุ่มครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยจะให้ความสำคัญกับการนำสตอรี่ของแบรนด์มาสร้างการรู้จักให้ลูกค้า
“เรารู้จักลูกค้าในย่านเมกา บางนาอย่างดี เพราะมีถึง 3 แบรนด์ ทำให้นำดาต้าความคุ้นเคย และการมีคลังสินค้าที่นี่มาใช้ในการทำตลาด เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ยังนำฐานสมาชิกกว่า 2.5 แสนรายมาใช้ให้เกิดประโยชน์”
5. BINCHO ตั้งเป้าหมายการจับจ่าย 300-600 บาทต่อคนต่อเซ็ต (ขณะที่ยอดจับจ่ายของแบรนด์ มากูโระอยู่ที่ 800 บาทต่อคนต่อหัว) โดยวางโพซิชั่นนิ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนที่เดินห้างสรรพสินค้า ให้บรรยากาศย้อนยุคไปญี่ปุ่นโบราณ บวกกับสตอรี่ที่นำเสนอ จะสามารถตอบโจทย์ได้ดี โดยเฟสแรกวางเป้าหมายขยาย 10-20 สาขาในเขตกรุงเทพ ช่วง 2-3 ปีนับจากนี้ โดยสาขาที่ 2 จะเปิดต้นปี 2569 ภายใต้งบลงทุนกว่า 10 ล้านบาทต่อสาขา ก่อนนำดาต้าที่ได้มาศึกษารูปแบบการตลาดเพื่อขยายออกเป็นวงกว้างต่อไป
6.ส่วนการทำตลาดนับจากนี้จะเน้นคุณภาพและความคุ้มค่า คุ้มราคา ส่วนการที่แบรนด์อื่นๆ ทำโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม มองว่าคือการกระตุ้นอุตสาหกรรมให้เติบโต ขึ้นอยู่กับว่าใครจะทำมากทำน้อย ส่วนมากูโระฯ เองยังไม่มีแผนที่จะลงไปเล่นในส่วนของสงครามราคา แต่จะเน้นทำโปรโมชั่นในโอกาสต่างๆ เช่น ในโอกาสครบรอบ 10 ปี ก็มีการปล่อยแคมเปญ ช็อคไพร์ซ หรือ Best Deal ภายใต้คอนเซ็ปต์ความคุ้มค่าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี โดยจะมีการทำต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีในทุกแบรนด์ในเครือ
7.ทั้งนี้วางเป้าหมายการเติบโต 30% ในปี2568 ยอดขายหลักยังคงมาจากมากูโระ 50% ผ่านมาครึ่งปีแรก ยังสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนในครึ่งปีหลังมองว่าตลาดจะมีการเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยวที่ต่างชาติเข้ามา แต่อย่างไรก็ตามคงต้องจับตาดูจำนานนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเข้ามาอีกครั้ง
8.พร้อมกันนี้ยังมีแผนนำเข้าแบรนด์ใหม่เพิ่มอีก 1 แบรนด์ ในช่วงเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งจะเปิดให้บริการเป็นสาขาแรกที่โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค โดยเน้นเจาะตลาดระดับพรีเมี่ยมแมส ราคาไม่เกิน 700 บาท ซึ่งจะมาเป็น New S Curve ให้ทางกรุ๊ปในอนาคต
9.นอกจากอาหารญี่ปุ่นแล้ว ยังมีการตั้งทีม R&D ในการพัฒนาแบรนด์ใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แค่ญี่ปุ่นอีกต่อไป แต่อาหารเกาหลี ไทยก็มีการซุ่มพัฒนาต่อเนื่อง แบรนด์นาคตไกล ฮิโตริชาบูชิ ที่ปัจจุบันมี 13-14 สาขา และ ทงคัตสิ อาโอกิ ที่ 6 เดือนใช้เวลาขยาย 5 สาขา ก็สามารถสร้างการเติบโตได้ดี โดยไตรมาส 3 เปิดเพิ่มที่ไอคอนสยามและ เมกางนา







