ร้อนแรงอย่างต่อเนื่องสำหรับตลาดชาบูหม้อต้มเมืองไทย หลังผู้เล่นหลักหลายรายทยอยจัดทัพปรับกลยุทธ์สู้ศึกอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การเปิดตัวเมนูใหม่ ตลอดจนศึกสงครามราคาของผู้เล่นหลักอย่าง MK และสุกี้ตี๋น้อย
ล่าสุด โออิชิ หนึ่งในผู้เล่นหลักในตลาดชาบู ก็เคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ด้วยการประกาศรีแบรนด์ครั้งใหญ่ สู่ภาพลักษณ์ใหม่ที่ไม่ใช่แค่ร้านอาหารหรือร้านชาบูหากแต่คือ Social Bonding ให้คนรุ่นใหม่Gen Z ได้เป็นแหล่งพบปะสังสรรค์
จากจุดเริ่มต้นการเป็นร้านชาบูในคอนเซ็ปต์เสิร์ฟอาหารบนสายพานเป็นรายแรก ๆ ในไทย จนสามารถขยายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ หรือกว่า 190 แห่ง จนกลายเป็นแบรนด์ในใจใครหลายคน สร้างยอดขายเป็นสัดส่วนถึง 80% จากแบรนด์ทั้งหมดในเครือโออิชิ
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มยังเจนเนอเรชั่น การ “ยกเครื่องแบรนด์” จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้ “ชาบูชิ” สามารถเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ได้อย่างลึกซึ้งและยั่งยืน
คุณไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภค ธุรกิจร้านอาหารจำเป็นต้องปรับตัวให้เร็วกว่า ไม่ใช่แค่การตอบสนอง แต่ต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของลูกค้าผ่านแบรนด์ที่มีบุคลิก มีอารมณ์ร่วม และมีความเข้าใจอย่างแท้จริง ภายใต้ PASSION 2030 ‘ไทยเบฟ’ มุ่งเสริมศักยภาพให้แบรนด์ในเครือเติบโตอย่างยั่งยืน
โดยเฉพาะแบรนด์ยุทธศาสตร์อย่าง ‘ชาบูชิ’ ซึ่งมองว่า เป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพสูงในการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ด้วยภาพลักษณ์ที่สดใหม่ สนุก และพร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เราไม่ได้เพียงส่งเสริมให้แบรนด์เติบโตทางธุรกิจ แต่ยังสนับสนุนให้เติบโตในใจผู้บริโภค ด้วยวิธีคิดใหม่ที่เข้าใจคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง”
“พฤติกรรมผู้บริโภคยุคปัจจุบัน สุขเร็ว จ่ายเร็ว รีวิวเร็ว การทำธุรกิจจึงไม่เพียงผลกำไร แต่ต้องไปนั่งในใจผู้บริโภค โดยเฉพาะเจนซี ที่มีกำลังซื้อและเป็นสีสันของตลาด ดังนั้นจากนี้ไปเราจะมุ่งเน้นการเข้าไปนั่งในใจลูกค้ามากขึ้น”
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของการรีเฟรชแบรนด์ครั้งนี้ คือ การเปิดตัวพรีเซนเตอร์คู่แรกของแบรนด์ ได้แก่ คู่มิตรภาพ(สุดฮอต)แห่งปี #สกายนานิ “สกาย” วงศ์รวี นทีธร และ “นานิ” หิรัญกฤษฎิ์ ช่างคำ ซึ่งเป็นตัวแทนของความสดใส มิตรภาพ และพลังบวก ในแบบที่ผู้บริโภครุ่นใหม่สามารถเชื่อมโยงได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ทั้งยังสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ ที่รวมความแตกต่างแต่ลงตัว ทั้งชาบู – ชาบู และซูชิ สองรสชาติที่ขาดกันไม่ได้ และช่วยยกระดับแบรนด์ให้ดูเข้าถึงง่ายแต่มีเสน่ห์ เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มแฟนคลับที่มีอิทธิพลต่อเทรนด์ในโซเชียล ที่ไม่ใช่แค่ Hotpot แต่คือ Hotpot plus โดยชื่อ ชาบูชิ มาจาก ชาบู+ซูชิ หรืออาหารที่หลากหลายตอบโจทย์
ประเดิมการรีแบรนด์ครั้งแรกด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “ชาบูชิ x สกาย – นานิ: ALL YOU CAN กรี๊ด ฟินสุดกรี๊ด ยิ่งอีทยิ่งฟิน” เจาะกลุ่มยังเจนเนอเรชั่น ที่มองหาประสบการณ์มากกว่าเพียงความอิ่มอร่อย อีกทั้งยังรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ยังนำกลยุทธ์การตลาดภายใต้แนวคิด Emotional Experience ดึงจุดแข็งและแนวคิดหลักของแบรนด์ “รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด” (Good Taste Great Time Never End) มาพัฒนาต่อยอดสู่ประสบการณ์ที่เชื่อมโยงทั้งอารมณ์และความฟิน ผ่านสามแกนสำคัญ Quality – Creativity – Great Moment (engagement)
• Shabushi ALL-STAR SERIES: ยกทัพเมนูชาบู – ชาบู สุดพรีเมียม และวัตถุดิบสะท้อนความใส่ใจ ความคุ้มค่า และความอร่อยอย่างต่อเนื่อง ในทุกครั้งที่มาใช้บริการ
• Shabushi SUSHI-MASTER SERIES: ยกระดับประสบการณ์ซูชิ…ข้าวปั้นสารพัดหน้า ด้วยเมนูใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้นตอบโจทย์ทั้งคอซูชิจริงจัง และนักกินสายแชร์
• Shabushi Great Moment: เสริมความประทับใจด้วยบริการที่อบอุ่น และกิจกรรมที่สร้างโมเมนต์สนุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกมื้อไม่ใช่แค่กิน…แต่คือความรู้สึกดี ๆ ที่น่าจดจำและอยากกลับมาอีก
นอกจากนี้ยังมีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 10 สาขาในปี 2568 ในหลายทำเลทั่วประเทศ เพื่อสร้างการเข้าถึง และจะขยายเพิ่มอีก 10 สาขาในปี 2569 โดยมีระดับราคาให้เลือก 3 ราคา ได้แก่ 399/499/599 บาท (ไม่รวม VAT)
“เราอยู่มานานไม่จำเป็นต้องแก่ แต่คือการเติบโตและพัฒนาไปพร้อมกับลูกค้าและสร้างความแตกต่าง ผ่านแคมเปญ “ชาบูชิ x สกาย – นานิ: ALL YOU CAN กรี๊ด ฟินสุดกรี๊ด ยิ่งอีทยิ่งฟิน” ที่ไม่ใช่แค่ร้านอาหารและชาบู แต่คือ Social Bonding ให้กับลูกค้า” คุณไพศาลกล่าว








