ตลาดความงามหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวแรงต่อเนื่องนับตั้งแต่การระบาดของโควิดผ่านพ้นไป โดยส่วนหนึ่งของการเติบโตเป็นผลมาจากพฤติกรรมคนไทยไม่หยุดสวย จึงมีผลิตภัณฑ์แบรนด์ความงามเกิดขึ้นมากมาย ทั้งไทยและต่างประเทศ ตลอดจนแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่หลายคุ้นเคยต่างจัดทัพเพื่อรองรับการเติบโตนี้
ข้อมูลจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ระบุว่า ปี 2567 ตลาดความงามไทยมีมูลค่าสูงถึง 2.81 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 10.4% ปัจจัยเกื้อหนุนที่ทำให้มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องมาจากช่องทางการขายผ่านอีคอมเมิร์ซที่ยังโตแรง รวมถึงความนิยมของเครื่องสำอางแบรนด์ไทยโดยเฉพาะกลุ่มสินค้า SMEs ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ
คุณหิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟ แอนด์ บอย จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจความงามถือเป็นธุรกิจเฉพาะตัว มักไม่เกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งการเติบมีเรื่องของไลฟ์สไตล์เข้ามาเกี่ยวข้องอยากซื้อก็ซื้อ หรือมักมี Emotion เข้ามาเกี่ยวข้องในเลือกซื้อของลูกค้า ดังนั้นการที่แต่ละแบรนด์จะเติบโตได้มากน้อยขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การตลาด ทั้งกิจกรรม โปรโมชั่น ฯลฯ ของทางร้านหรือแบรนด์ว่าจะทำอย่างไร ในการผลักดันยอดขายให้เติบโต แน่นอนช่วงที่ผ่านมาในร้านบางแบรนด์โต 50% บางแบรนด์โต 100%
ขณะเดียวกันแม้ตลาดจะเติบโตสูง ทว่าด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เทรนด์ต่างๆ มาไวและไปไว ทำให้ทาง “อีฟแอนด์บอย” ได้มีการปรับกลยุทธ์การตลาดรูปแบบต่างๆ โดยเรื่องของความรวดเร็วคือสิ่งที่ต้องมาก่อน และต้องเร็วมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ในการเลือกสินค้าบริการต่างๆมาเสิร์ฟลูกค้าให้ทันตามเทรนด์และความต้องการ
“เทรนด์ความงาม เร็วขึ้นเยอะ ผู้บริโภคเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก มีการเลือกใช้แบรนด์ต่างๆ เปลี่ยนไปมา มีลอยัลตี้ต่อแบรนด์ลดลง ถ้าเราไม่เร็วเท่าลูกค้า เราก็จะเสียลูกค้าไป” คุณหิรัญ กล่าว

คุณหิรัญ ตันมิตร
กางแผน “อีฟแอนด์บอย” ปรับกลยุทธ์รับตลาดความงามเปลี่ยนไหว เร่งสปีด 25 สาขา พร้อมสยายปีกเจาะ ตจว.
คุณหิรัญ ยังบอกอีกว่า โอกาสของตลาดความงามหรือบิวตี้ในไทยยังมีการเติบโตได้อีกมาก แม้ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี แต่คนส่วนใหญ่ยังต้องการดูแลตัวเอง นั่นทำให้เป็นช่องว่างและโอกาสในตลาดความงามในการขยายสาขาต่อเนื่อง ขณะเดียวกันตลาดความงามในไทยก็ยังมีขนาดที่เล็กมากเมื่อเทียบกับ เกาหลี ญี่ปุ่น ซึ่งเล็กมากกว่าถึง 4 เท่า
ด้านภาพรวมธุรกิจ “อีฟแอนด์บอย” ในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่า มีการเติบโตมากถึง 40% (จากปี 2566) หรือคิดเป็นรายได้ 7,000 ล้านบาท ซึ่งเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนเติบโตมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มเครื่องสำอาง (MAKEUP) โตมากถึง 45% ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (SKINCARE) 40% กลุ่มน้ำหอม (FRAGRANCE) 35% และกลุ่มอื่น ๆ ก็ยังมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ขณะที่ในไตรมาสแรกของปี 2568 “อีฟแอนด์บอย” มีการเติบโตเป็นไปตามเป้าที่ 30% โดยมาจากการขยายสาขาเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และยังมีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดกับสาขาเดิมเพื่อรองรับการเติบโตในปีนี้เช่นเดียวกัน
นั่นทำให้ปี 2568 นี้บริษัทจะทำตลาดเชิงรุกอย่างเต็มที่ โดยจะเป็นปีแรกที่มีการขยายสาขามากที่สุดนับตั้งแต่ทำตลาดมา โดยวางเป้าขยายทั้งสิ้น 25 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพ 50% และปริมณฑล-ต่างจังหวัด 50% โดยในส่วนของกรุงเทพจะขยายไปยังทำเลศักยภาพ เป็น Strategic Location รวมถึงยังเน้นเจาะกลุ่มไปที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ EmSphere, Platinum, Terminal 21 Asok, Siam Premium Outlet
ด้านในต่างจังหวัดจะขยายสาขาเข้าไปในจังหวัดใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีสาขาเลย เช่น อุบลราชธานี ด้วยงบลงทุนรวม 600 ล้านบาท เป็นสาขาขนาดใหญ่มาตรฐาน พื้นที่ราว 300- 500 ตารางเมตร โดยปีนี้ได้มีการขยายสาขาไปแล้ว 5 สาขา ทำให้ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งสิ้น 45 สาขา แบ่งเป็น ในกรุงเทพ 26 สาขา และต่างจังหวัด 19 สาขา โดยสิ้นปีนี้จะมี 65 สาขา และภายในปี 2571 จะมี EVEANDBOY ทั้งหมด 140 สาขา ในทุกพื้นที่ทั้งสแตนด์อโลน ในศูนย์การค้า ในชอปปิ้งมอลล์ ในต่างจังหวัด
แบรนด์ความงามไทยติดลมบน เร่งเพิ่มพอร์ตรับดีมานด์ลูกค้า
คุณหิรัญ กล่าวอีกว่า นอกจากการขยายสาขาเพื่อสร้างการเติบโตระยะยาวแล้ว การเพิ่มผลิตภัณฑ์และแบรนด์ใหม่ๆ คือสิ่งสำคัญที่ทาง “อีฟแอนด์บอย” จะเร่งโฟกัส โดยเฉพาะในส่วนของแบรนด์ไทย หลังพบว่าตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา แบรนด์ไทยมีการเติบโตมากขึ้น หลายแบรนด์มียอดขายทะลุ 1,000 ล้านบาท สะท้อนความนิยมของคนรุ่นใหม่ที่หันมาชื่นชอบแบรนด์ไทยมากขึ้นเช่นกัน
โดย “อีฟแอนด์บอย” จะเริ่มขยายผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ไทยในร้านให้มากขึ้น หลังพบว่าสัดส่วนการขายและปริมาณสินค้าของแบรนด์ไทยก็เริ่มมากขึ้นต่อเนื่อง นับตั้งแต่ที่ทำธุรกิจมาเกือบ 20 ปี แบรนด์ไทยโตเร็วมากนับตั้งแต่ช่วงหลังโควิด-19 เป็นต้นมา ส่วนจะมากจะน้อยนั้นขึ้นอยู่กับเทรนด์และโอกาสนั้นๆ ซึ่งทาง อีฟแอนด์บอยมีการวางกลยุทธ์ทางตลาดที่ทำให้ลูกค้านึกถึงเราเป็นที่แรกเมื่อมีสินค้าออกใหม่หรือต้องการอัปเดตเทรนด์สินค้าใหม่ ๆ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำการตลาดของ EVEANDBOY มาโดยตลอด
“ปีนี้มีแบรนด์ไทยได้รับรางวัลมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของแบรนด์ไทยในฐานะ ‘Rising Star’ จำนวนมาก เนื่องจากปัจจุบันคนไทยหันมาใช้แบรนด์ไทยมากขึ้น สนุกกับการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีในตลาดโดยไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องยี่ห้อ แต่ยังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ปีนี้ตลาดบิวตี้ในไทยมีความคึกคักมากกว่าปีก่อน ๆ”
พร้อมกันนี้ยังจะนำจุดเด่นที่ อีฟแอนด์บอยมี 5 ด้านเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและทำตลาด ไม่ว่าจะเป็น 1.การมีวาไรตี้ความหลากหลายของสินค้า 2.การวางราคาที่เข้าถึงผู้บริโภค 3.การมีสินค้าที่หลากหลายทั้งเอ็กซ์คลูซีฟทั้งด้านแบรนด์และเอสเคยูของสินค้า 4.การมีบริการพิเศษ เช่น อบรมการแต่งหน้า 5.ความมั่นใจในสินค้าที่เป็นของจริงไม่มีปลอม
‘Ebbie Card’ Loyalty Program ใหม่มัดใจลูกค้า
พร้อมกันนี้จะมีการเปิดตัว Loyalty Program รูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ ‘Ebbie Card’ (เอบบี การ์ด) ซึ่งจะช่วยให้ “อีฟแอนด์บอย” รักษาฐานลูกค้าเก่าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกิดความคุ้มค่าในการซื้อสินค้าตลอดอายุสมาชิก โดย Ebbie Card มีสิทธิพิเศษมากมาย อาทิ ส่วนลดพิเศษ, ดีลพิเศษเฉพาะสมาชิก, Gift Set สำหรับเดือนเกิด, สิทธิ์ในการซื้อสินค้าออกใหม่ก่อนลูกค้าทั่วไป, สิทธิ์เข้าร่วมในกิจกรรมหรืออีเวนต์ Exclusive เป็นต้น และเพื่อเป็นการตอกย้ำความยิ่งใหญ่ และการันตียอดขายสินค้าความงามที่ประสบ
จึงจัดกิจกรรมพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลสินค้าขายดีทั้ง 145 รางวัล ประจำปี 2024 ภายใต้ชื่อ EVEANDBOY BEAUTY AND THE BEST โดยจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ – 19 มิถุนายน 2568 พร้อมโปรโมชั่นพิเศษทั้ง 45 สาขา และออนไลน์
ทั้งหมดทำให้มั่นใจว่าสิ้นปี 2568 นี้ “อีฟแอนด์บอย” จะสามารถสร้างการเติบโตได้ที่ 30% ซึ่งเป็นการเติบโตมากกว่าตลาดรวมบิวตี้ในไทยที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 2.8 แสนล้านบาท







