
ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 3,926.85 ล้านบาท เติบโต 16.86% มีกำไรขั้นต้น จำนวน 12,402.60 ล้านบาท เติบโต 7.63% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 26.09% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 27.13% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงการปรับปรุงแผนการจัดซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่องของธุรกิจโฮมโปร และเมกาโฮม
บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 10,411.53 ล้านบาท เติบโต 3.41% เทียบกับปีก่อน ปัจจัยหลักของการเพิ่มขึ้นที่เป็นตัวเงินเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายกลุ่มเงินเดือน ต้นทุนในการให้บริการแก่ลูกค้า ต้นทุนค่าขนส่ง ค่าเช่า และค่าซ่อมแซม อย่างไรก็ตามอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายมีการลดลงจาก 22.79% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 22.77%
ในช่วงไตรมาส 3 โดยปกติถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจค้าปลีกที่เกิดจากผลกระทบของฤดูกาลเป็นหลัก ซึ่งปีนี้มีปริมาณฝนตกมากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเข้ามาจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ถึงแม้ว่าภาคการส่งออกและท่องเที่ยวจะยังขยายตัวก็ตาม แต่ราคาพืชผลทางการเกษตรยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงระดับหนี้สินภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ยอดขายในไตรมาสที่ 3 ยังไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ที่ผ่านมา บริษัทได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า โดยได้มีการจัดงาน โฮมโปร แฟร์ (HomePro Fair) ที่เมืองทองธานีในช่วงเดือนกรกฎาคม รวมถึงการจัดงานโฮมโปร แฟร์ ในเมืองที่ยังมีการเติบโต เช่น หาดใหญ่ ตลอดจนการจัดกิจกรรม “ฉลองโฮมโปรครบรอบ 22 ปี” ในทุกสาขา เป็นต้น
สำหรับไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมาบริษัทยังไม่มีการเปิดสาขาใหม่ ซึ่งถึงวันที่ 30 กันยายน 2561 บริษัท มีสาขาในรูปแบบต่างๆ คือ 1.โฮมโปร จำนวน 82 สาขา 2. โฮมโปร เอส จำนวน 5 สาขา 3.เมกา โฮม จำนวน 12 สาขา และ 4.โฮมโปร ที่ประเทศมาเลเซีย 6 สาขา ส่วนในไตรมาสสุดท้ายบริษัทมีแผนเปิดสาขา โฮมโปร เอส ในเขตกรุงเทพฯ เป็นหลักด้วย




