คุณ Kfir Godrich ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายนวัตกรรม (Chief Innovation Officer) ของ Blackrock
การมาถึงของ “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) ที่กำลังเข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งการเงิน การแพทย์ การผลิต การเกษตร การศึกษา ฯลฯ เป็นสิ่งที่หลายคนจับตามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยหลายคนนิยาม AI ว่าอาจเป็นผู้สร้างเศรษฐกิจใหม่ รวมถึงอนาคตใหม่ให้กับโลกได้เลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่บริษัทผู้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์จำนวนมากยังคงมองหาก็คือเม็ดเงินจากนักลงทุน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีการลงทุนในบริษัทผู้พัฒนา AI เกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น
- ในเดือนพฤศจิกายน 2024 บริษัทด้าน AI Analytics ชื่อ Pyramid Analytics (มีโปรดักท์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Machine Learning และมีลูกค้าในพอร์ตเป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เช่น FDA, Hallmark, Deloitte รวมถึง Volkswagen) ได้รับเงินลงทุนจาก Blackrock ยักษ์ใหญ่ในโลกการเงิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ
ไม่เพียงเท่านั้น ในฝั่งของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เช่น การพัฒนาชิป, Data Center, Application ก็มีการลงทุนเกิดขึ้นในหลายรูปแบบ เช่น
- เดือนมีนาคม 2025 บริษัท Nvidia, xAI, Blackrock และ Microsoft ร่วมกันตั้ง AI Infrastructure Fund มูลค่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกองทุนดังกล่าวจะสนับสนุน Data Center สำหรับการพัฒนาโปรดักท์ด้าน AI โดยเฉพาะ
- เดือนสิงหาคม 2024 บริษัท Groq ผู้พัฒนาชิป AI ได้รับเงินลงทุน 640 ล้านเหรียญสหรัฐจาก Cisco, Samsung Catalyst Fund และ Blackrock การลงทุนดังกล่าวทำให้บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปี 2021)
ด้วยเหตุนี้ ไม่เฉพาะฝั่งของผู้บริโภคที่หันมาสนใจ AI และเลือกใช้งานโมเดลต่าง ๆ กันอย่างท่วมท้น แต่ในฝั่งของบริษัทขนาดใหญ่ และสถาบันการเงินระดับโลก ก็จะเห็นเทรนด์ของการ “ใส่ใจ” กับการพัฒนา AI ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้มันตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานด้วยเช่นกัน
เปิดแนวคิด Blackrock เลือกลงทุนบริษัท AI อย่างไร
อย่างไรก็ดี สิ่งที่แตกต่างอาจเป็นแนวคิดในการลงทุนด้าน AI ของบริษัทยักษ์ใหญ่แต่ละแห่ง ซึ่งในงาน Techsauce Global Summit 2025 คุณ Kfir Godrich ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายนวัตกรรม (Chief Innovation Officer) ของ Blackrock ได้ให้หลักสำคัญเอาไว้ 3 ข้อนั่นคือ
ต้องมี True Core Innovation
สิ่งที่คุณ Kfir Godrich บอกว่า Blackrock เลือกลงทุนในบริษัท AI คือการมองหาว่า บริษัทนั้น ๆ มี True Core Innovation จริง ๆ ไม่ใช่แค่เพียงการเพิ่มชั้นของ AI เข้าไป
“ในฐานะนักลงทุน ที่ต้องเลือกลงทุนในบริษัทด้าน AI สิ่งที่เราต้องพิจารณาก็คือ บริษัทเหล่านั้นมีนวัตกรรมหลัก (True Core Innovation) หรือไม่ เพราะถ้าไม่มี บริษัทเหล่านี้จะต้องล้มหาย (ใช้คำว่า die) ไปในที่สุด” Kfir Godrich, Chief Innovation Officer, Blackrock
คุณ Kfir กล่าวด้วยว่า ต่อให้มีบริษัทด้าน AI เป็นพันหรือหมื่นแห่ง บริษัทเหล่านี้ก็จะตายไปอยู่ดี ถ้าพวกเขาไม่ได้สร้างนวัตกรรมหลักที่แท้จริง ด้วยตัวเอง
ไม่ลงทุนใน Lego แต่ลงทุนใน “Lego Part”
อีกหนึ่งข้อที่น่าสนใจจากคุณ Kfir ก็คือ การเปรียบเทียบการลงทุนด้าน AI กับบริษัทผู้ผลิตของเล่นชื่อดังอย่าง Lego โดยเขาบอกว่า ถ้าเปรียบ Lego กับการลงทุนด้าน AI นักลงทุนไม่ได้ใส่เงินลงไปในบริษัท Lego ทั้งบริษัท แต่จะเลือกใส่เงินลงไปในชิ้นส่วนของ Lego (Lego Parts) ที่ทำให้นักลงทุนได้รับสิ่งที่ต้องการได้เร็วที่สุด
พร้อมกันนั้นเขายังได้เปรียบเทียบโมเดล AI ของบริษัทชื่อดังต่าง ๆ (เช่น LLM ของ Meta) ที่พัฒนาขึ้นมาด้วยว่า มันอาจดูยิ่งใหญ่มากสำหรับใช้งานภายในองค์กร หรือทำให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทำงานได้ดีขึ้น แต่ในมุมของนักลงทุน มันอาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเขามองหาก็เป็นได้
ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ให้มาก
สิ่งที่คุณ Kfir มองว่าจำเป็นสำหรับการลงทุนในโลกของ AI ประการสุดท้ายคือการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่หลากหลาย และในแง่ของจำนวนอาจกล่าวได้ว่า ยิ่งมากยิ่งดี โดยเขาได้ยกตัวอย่างการร่วมมือกับ Microsoft และ Nvidia สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ และเพิ่งได้ผู้เข้าร่วมรายล่าสุดอย่าง Temasek สำหรับมองหาโอกาสในตลาดเกิดใหม่ เช่น เอเชีย แอฟริกา และกลุ่มประเทศอาหรับ
“นวัตกรรมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นแค่ในนิวยอร์ก เราต้องติดตามตลอดว่า มีสถานที่ใดบ้างที่กำลังเป็นศูนย์รวมนวัตกรรม ตอนนี้เรามีพาร์ทเนอร์จากทั่วโลก เช่น Kuwait Investment Authority, UAE รวมถึง MGX ที่เป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์หลัก นอกจากนี้ยังมี Mubadala และ G42 ซึ่งทั้งหมดนี้กระจายอยู่ทั่วโลก”
ทั้งนี้ คุณ Kfir ทิ้งท้ายด้วยว่า ความท้าทายของการลงทุนด้าน AI ที่ Blackrock พบในปัจจุบันคือ การกำกับดูแล (Regulatory) ของประเทศต่าง ๆ ที่อาจมีนโยบายแตกต่างกัน พร้อมยกตัวอย่าง สหภาพยุโรปที่มีข้อกำกับมากจนไม่อาจทำให้โครงการเดินหน้าได้เร็วนัก ส่วนเอเชีย เขามองว่า การเติบโตนั้นอยู่ในระดับกึ่งกลาง กระจัดกระจาย แต่ก็มีหลายโครงการเกิดขึ้น
และในช่วงท้าย เขายังได้แนะนำการใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้นของมนุษย์ในยุคของ AI ด้วยว่า
“ผมคิดว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่น่าทึ่งมาก แค่ให้อ่านสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว และพยายามเก็บเกี่ยวข้อมูลให้ได้มากที่สุดก็เป็นเรื่องท้าทายแล้ว คำแนะนำของผมคือ ถ้าทำไม่ได้ ก็จงสร้าง Agentic AI ของคุณขึ้นมาและให้มันทำแทนคุณซะ (นำข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่สุดมาให้คุณ)”