HomeBrand Move !!กะเทาะแก่นความคิด “วิลเลี่ยม ไฮเน็ค” กับการรับมือ Digital Disruption พร้อมทุ่มพันล้านปั้นสตาร์ทอัพ Food Tech

กะเทาะแก่นความคิด “วิลเลี่ยม ไฮเน็ค” กับการรับมือ Digital Disruption พร้อมทุ่มพันล้านปั้นสตาร์ทอัพ Food Tech

แชร์ :

แม้ว่าธุรกิจอาหารของกลุ่มไมเนอร์ จะเป็นรองธุรกิจโรงแรม เพราะมีรายได้เป็นอันดับ 2 ด้วยสัดส่วน 39% จากรายได้รวม 14,940 ล้านบาท แต่คิดเป็นตัวเลขแล้วก็ไม่น้อย โดยมีมูลค่าถึง 5,806 ล้านบาท แถมทำกำไรไปได้ถึง 1,024 ล้านบาท (ข้อมูลผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2561) ส่วน ธุรกิจโรงแรมมีรายได้ 8,121 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 54% ของเครือ กำไร 1,926 ล้านบาท จึงนับว่าธุรกิจอาหารมีส่วนแบ่งกำไรที่สดใส อย่างไรก็ตาม

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

การที่รายได้ท่ามกลางการแข่งขันอันรุนแรง แบรนด์ร้านอาหารมีจำนวนมาก แถมความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตัวเลขที่ได้มาขนาดนี้ก็เป็นที่น่าพอใจและนับถือว่าทำได้ดีทีเดียว

กลุ่มไมเนอร์ให้ความสำคัญกับธุรกิจอาหาร  เพราะมองเห็นว่าเป็นธุรกิจแห่งอนาคต เป็นความมั่นคงของประเทศ  ไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ทุกคนยังต้องกินอาหาร  มันคือปัจจัย 4 ที่ขาดไม่ได้ แต่จะเลือกกินอะไรแบบไหนเท่านั้น  มองย้อนไปตั้งแต่ต้นปี 2561 ถึงปัจจุบัน จะพบว่ากลุ่มไมเนอร์ได้ลงทุนสำคัญกับธุรกิจอาหารหลายอย่าง

พอร์ตธุรกิจอาหาร 10 แบรนด์  2,130 สาขา

-ขยายสาขาร้านอาหารจำนวน 45 สาขา โดยส่วนใหญ่เป็นร้านเดอะ พิซซ่า คอมปะนีในต่างประเทศ ร้านแดรี่  ควีนในประเทศไทย และร้านเบนิฮานา ทำให้ปัจจุบันกลุ่มไมเนอร์มีร้านอาหารถึง 2,130 สาขากับจำนวนแบรนด์กว่า 10 แบรนด์ด้วย ซึ่งมีสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ อาทิ จีน สิงค์โปร์​ ออสเตรเลีย และมัลดีฟส์

-การเข้าไปลงทุนในสัดส่วน 75% “เบนิฮานา โฮลดิ้ง” ซึ่งเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจร้านอาหารเทปันยากิสไตล์ญี่ปุ่นใน 12 ประเทศ

-การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนจาก 85.9% เป็น 100% ใน “ริเวอร์ไซด์” ประเทศจีน

-การซื้อหุ้นในบริษัท The Food Theory Group Pte.Ltd. มูลค่าลงทุน 79.86 ล้านบาท  ซึ่งบริษัทดังกล่าวดำเนินธุรกิจจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ต่างๆ อาทิ Three Little Pigs, Sifu Hong Kong Masteribs และ Ya Hua Bak Kut Teh เป็นต้น

-การเพิ่มทุนในกิจการร่วมค้า บริษัท ศรีฟ้าโฟรเซ่นฟู้ด จำกัด และทำการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัท อาร์ต ออฟ เบคกิ้ง จำกัด จากสัดส่วนการถือหุ้น 50% เป็นถือหุ้นในสัดส่วน 99% ซึ่งต้องการใช้เป็นธุรกิจสนับสนุนธุรกิจอาหารและธุรกิจโรงแรมในเครือ  และยังเป็นการเพิ่มโอกาสขายสินค้าเบเกอรี่ทั้งตลาดไทยและตลาดเอเชีย

-ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2561 ยังได้ทำสัญญาร่วมทุนกับ Vietnam Investments Group (VI Group) เพื่อเป็นผู้รับสิทธิ์ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์หลักของแบรนด์ เดอะ คอฟฟี่ คลับในประเทศเวียดนาม ซึ่ง VI Group เป็นผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์และประสบความสำเร็จในประเทศเวียดนาม  มีร้านอาหารหลายแพลตฟอร์ม  การร่วมทุนครั้งนี้กลุ่มไมเนอร์หวังว่าจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจในประเทศเวียดนามและสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ เดอะ คอฟฟี่ คลับด้วย โดย VI Group ดำเนินธุรกิจหลากหลาย เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารนั้น มีการดำเนินุรกิจอาหารจานด่วน หรือ QSR ภายใต้แบรนด์ แดรี่ควีน สเวนเซ่นส์ และเดอะ พิซซ่า คอมปานี นอกจากนี้ยังมีโรงงานด้านผลิตอาหาร ได้แก่  VNFoods

แม้ว่าธุรกิจอาหารจะเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง และกลุ่มไมเนอร์ได้ขยายการลงทุนหลากหลายรูปแบบ แต่ต้องยอมรับว่าการแข่งขันไม่ได้ลดน้อยลงเลย รวมถึงโลกยุคปัจจุบันยังเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล ทำให้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น และเข้ามา Dirsrupt ธุรกิจอาหารแบบดั้งเดิม หรือใช้เทคโนโลยีใหม่ เข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าให้สินค้า หรือสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากขึ้น

นั่นทำให้ แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง ไมเนอร์ฯ ที่มีรายได้มากกว่า 14,000 ในแต่ละปี ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงองค์กรตัวเองจากภายใน เพื่อคงความยิ่งใหญ่เอาไว้… ตลอดระยะเวลาของการแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์ในงาน  “Minor Tasting The Future – Hackathon 2018” คุณวิลเลี่ยม ไฮเน็ค ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวย้ำ 2-3 ครั้ง ใจความว่า

“เราจะไม่รอให้เทคโนโลยีเข้ามา Disrupt เรา แต่เราจะต้อง Disrupt ตัวเองก่อน เพื่อค้นหาแนวทางในการช่วยสร้างการเจริญเติบโตและสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจของเรา ถ้าหากว่าปราศจากเทคโนโลยี เราก็คงความยิ่งใหญ่ของเราเอาไว้ได้ยาก … คนที่เร็วที่สุด คนที่ปรับตัวได้ดี คนที่พร้อมเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ในธุรกิจตอนนี้ ปัจจุบันเรามาถึงยุคที่เราจะต้องมีพาร์ทเนอร์คนใหม่ ที่ชื่อว่า Innovator และ Disruptor”

สภาพแวดล้อมทางธุรกิจในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มากกว่าการเปลี่ยนแปลงในช่วง 50 ปีที่แล้ว รวมทั้งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว อีกทั้งความเปลี่ยนแปลงนี้มีรูปแบบใหม่ๆ ไม่ใช่แค่จากธุรกิจอาหารโดยตรง แต่พุ่งตรง ข้ามแพล็ตฟอร์มไป-มา จากทุกทาง

“ช่วง 5 ปีที่แล้วสิ่งที่เข้ามา Disrupt ธุรกิจอาหารยังเป็นแค่ระบบเดลิเวอรี่ และการใช้เบอร์โทรศัพท์เบอร์เดียว แต่ยังไม่มีอะไรมากนัก ที่ผ่านมามีความพยายามจะใช้ AI เข้ามาช่วยคาดเดาการสั่งอาหารของลูกค้าจากพฤติกรรมและเมนูเดิมที่พวกเขาเคยสั่ง แต่ก็ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมมากนัก”

“แพล็ตฟอร์มอย่าง Instagram กลายเป็นสิ่งที่เข้ามา Disrupt  ธุรกิจอาหาร  เพราะจะเห็นว่ารูปภาพ 50% ในอินสตาแกรม เป็นรูปของอาหาร เราจึงต้องพัฒนาให้อาหารถ่ายรูปออกมาให้สวย อินสตาแกรมกลายเป็นพื้นที่ Presentation สำคัญของอาหาร และถ้าเราไม่มีอินสตาแกรม เราก็คงไม่มี food connection กับผู้บริโภค” คุณวิลเลี่ยม  เล่า

พร้อมทุ่มพันล้าน ทำคลอด Unicorn สัญชาติไทยใน Food Tech  

เพื่อเตรียมความพร้อมกับการเข้ามาของเทคโนโลยี ธุรกิจอาหารของกลุ่มไมเนอร์ จึงต้องจับมือกับ ดิสรัปท์ เทคโนโลยี เวนเจอร์ และ 500 TukTuks เปิดรับสมัครนักพัฒนานวัตกรรมด้าน Food, Dining, และ Restaurant Tech  เพื่อร่วมประกวดไอเดียในงานแฮกกาธอนดังกล่าว โดยจะมีการประกาศผล 20 ทีมที่ได้รับคัดเลือกเข้าโครงการในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งทีมที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมการแข่งขันในงาน “Minor Tasting The Future – Hackathon 2018” ที่จะจัดระหว่างวันที่ 1 – 2 ธันวาคมนี้  งานนี้คุณวิลเลี่ยม ไฮเน็ค ลงมาเป็น Mentor ด้วยตนเองพร้อมกับทีมบริหาร ซึ่งผู้เข้าร่วมจะได้รับการอบรมแบบเข้มข้นในหัวข้อ Future of Food Retail Service, Future of Franchise, Future of Dining for Aging Society, Digital Restaurant และ Dining For The Hyper Millennials, Delivery 4.0 and Beyond ทั้งนี้โครงการยังเปิดรับสมัครในหัวข้ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและน่าสนใจ

หากมีสตาร์ทอัพที่ไอเดียดี ต่อยอดและนำไปใช้ได้จริง  งานนี้กลุ่มไมเนอร์พร้อมสนับสนุนเงินลงทุกอย่างเต็มที่  โดยเตรียมงบประมาณไว้ 1,000 ล้านบาท หนุนอย่างเต็มที่ ส่วนความคาดหวังของเขาก็คือ การที่จะมีส่วนร่วมใน Unicorn ตัวใหม่ที่มีพื้นฐาน Food Tech ให้ได้สักรายเพื่อผลักดันให้ธุรกิจอาหารให้เติบโตแบบก้าวกระโดด  จากแผนปกติที่ถูกวางไว้ว่าน่าจะเติบโตเฉลี่ย 15% ตลอดระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้

เหตุผลที่คุณวิลเลี่ยมส์มองว่าสตาร์ทอัพของไทย มีโอกาสในเวทีนี้ ก็เพราะ “อาหาร” เป็นเรื่องที่ไร้สัญชาติ แต่ตัดสินกันที่ “รสชาติ” และท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของสมรภูมิรบทางการตลาดในประเทศไทย ถ้าหากว่านวัตกรรมนั้นแจ้งเกิดได้ โอกาสรอดและผงาดในระดับเอเชีย หรือแม้แต่ระดับโลก ก็มีทางเป็นไปได้สูง

“ประเทศไทยเปิดกว้างทางการแข่งขัน มีโอกาสมากมายที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เพราะคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิลเลนเนี่ยลเปิดรับ ชอบลองทั้งเรื่องรสชาติและประสบการณ์ใหม่ๆ เราจึงมองหา Food Tech ที่น่าสนใจ ซึ่งสอดคล้องกับผู้บริโภคปัจจุบันที่กำลังมองหา Food และ Health Tech ดูอย่างการพัฒนาของ โค้ก เรามี Coke Light หรือ Coke Zero ส่วนไมเนอร์เราเองก็มีไอศกรีม 0% แคลอรี่ แต่ความท้าทายสำหรับ Food Tech ก็คือ ความชื่นชอบในรสชาติของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามถือว่าประเทศไทยมีข้อได้เปรียบมหาศาล เพราะเราคือ Kitchen of the World เรามีอาหารที่หลากหลาย” คุณวิลเลี่ยมส์ เปิดเผยมุมมองที่เขามีต่ออุตสาหกรรม

ปรับตัวสไตล์ “วิลเลี่ยม ไฮเน็ค”

นอกจากจะจัดงาน Hackathon แล้ว ไมเนอร์ฯ ยังพยายามปรับตัวเองในยุค Digital Tranformation ด้วยการเปิดรับความร่วมมือกับภายนอก ทั้งในรูปแบบของการซื้อกิจการ, เริ่มไอเดียด้วยตัวเอง หรือมองหาผู้บริหารมือดีมาดูแลในส่วนของธุรกิจใหม่ โดยตอนนี้ยังเปิดกว้างทุกฟอร์แมท

“เราต้องออกนอกกรอบ ออกนอก Comfort Zone ของเราเอง แต่ทั้งหมดต้องเกิดจากการโฟกัสที่ ลูกค้า เป็นหลัก เช่นเดียวกับการที่ Uber แจ้งเกิดได้ คนแฮปปี้กับ Uber ก็เพราะว่ามันช่วยทำให้พวกเขาสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ใช่เพราะมันเป็นไอเดียใหม่ แต่เพราะมันสะดวกต่างหาก นี่แหละ ไอเดียแบบนี้คือไอเดียที่เรามองหา และมันจะเกิดขึ้นมาจากใครก็ได้… ข้อได้เปรียบของ ไมเนอร์คือเรามีเงินสดที่ลงทุน และลงทุนได้รวดเร็ว แต่เราไม่มีคน นี่คือเหตุผลที่เราจัด Hackathon และเราเชื่อว่าถ้าปราศจากคน เราก็ไม่มีนวัตกรรม”

ปิดท้าย ชายที่เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 18 จากพนักงาน 6 คน สู่พนักงาน 60,000 คน อย่าง “วิลเลี่ยม ไฮเน็ค” ทิ้งแง่คิดสำหรับสตาร์ทอัพ ซึ่งน่าจะนำไปปรับใช้ได้กับทุกธุรกิจ 2 ประเด็น ว่า

“อย่ากลัวที่จะ เสี่ยง เพราะการกล้าเสี่ยงมันเป็นสิ่งที่ทำให้คุณได้เอาไอเดียที่เด็ดจริงๆ ออกมาทำ และสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง การทำธุรกิจ คือ การมองหาความต้องการ(Need) ของคน ซึ่งบางครั้งมันก็เป็นอะไรที่พื้นฐานมากๆ เช่น AirBnB ก็เกิดขึ้นจากการที่คนต้องการที่พัก ซึ่งที่พักในที่นี้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นโรงแรม อาจจะเป็นบ้านก็ได้ เป็นที่พักได้เช่นกัน นั่นแหละ Innovative Way”

“คุณต้องมี Passion for Winning มีจิตวิญญาณของการแข่งขัน และอย่าลืม Speed of Execution เวลาคุณมีไอเดียใหม่ๆ คุณต้องลงมือทำ และลงมือทำให้เร็วด้วย”

และเขายังยกวรรคทองของ Steve Jobs มากระตุ้นผู้ฟังอีกว่า “Innovation distinguishes between a leader and a follower.” นวัตกรรมคือเส้นแบ่งระหว่างผู้นำและผู้ตาม

 


แชร์ :

You may also like