HomeBRAND HERITAGEย้อนเส้นทางความสำเร็จของ Huawei แบรนด์จีน ผู้มาเขย่าบัลลังก์ Apple -Samsung

ย้อนเส้นทางความสำเร็จของ Huawei แบรนด์จีน ผู้มาเขย่าบัลลังก์ Apple -Samsung

แชร์ :

ภายในเวลาไม่กี่ปี Huawei(หัวเว่ย) ได้พาตัวเองขึ้นไปสู่ผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายโทรคมนาคมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีคู่แข่งเพียงเจ้าเดียวอย่าง Ericsson จากประเทศสวีเดน ไม่ใช่แค่เครือข่ายโทรคมนาคมเท่านั้น ในวันนี้สมาร์ทโฟน ก็เป็นอีกหนึ่งสมรภูมิที่แบรนด์จีนแบรนด์นี้ พร้อมที่จะเขย่าบัลลังค์ของ Samsung และ Apple นี่คือเรื่องราวของแบรนด์ๆ นี้

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

จากดินแดนยากจน สู่เส้นทางเทคโนโลยี

Ren Zhengfei ผู้ก่อตั้ง Huawei เกิดในปี 1944 ที่มณฑลกุยโจว ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน หนึ่งในภูมิภาคที่ยากจนที่สุดของประเทศ คุณปู่ของเขาเป็นกุ๊กที่มีชื่อเสียงเรื่องการทำแฮม แต่เสียชีวิตไปตั้งแต่พ่อของเขายังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย จึงต้องลาออกกลางคัน อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาคุณพ่อของเขาก็ได้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งที่นั่นเองที่ทำให้ได้พบรักและแต่งงานกับแม่ของ Ren Zhengfei  หลังจากเรียนจบชั้นมัธยม Ren เข้าเรียนวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยฉงชิ่ง และหลังจากเรียนจบได้เข้าทำงานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีทางทหารให้กับกองทัพปลดปล่อยประชาชน

Ren ลาออกจากกองทัพในช่วงปี 1980 ตามแผนการลดกำลังพลของกองทัพ เขาย้ายไปเสินเจิ้นเพื่อก่อตั้งบริษัทของตัวเอง ด้วยเงิน 21,000 หยวน ที่เขาเก็บหอมรอมริบซึ่งในขณะนั้นมีค่าประมาณ 5,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ และบริษัทนั้นก็คือ Huaweii ซึ่งมีความหมายในภาษาจีนว่า “ดีเยี่ยม” / “เยี่ยมยอด” ในปี 1987 ในช่วงแรกของการดำเนินงาน แหล่งรายได้ของ Huaweii มาจากการขายอุปกรณ์โทรคมนาคมสำนักงานที่นำเข้ามาจากฮ่องกง

เริ่มติดปีกด้วย “นวัตกรรม”

ในปี 1990 Huawei เริ่มที่จะมีทรัพยากรเพียงพอในการเปิดห้องแล็บเพื่อทำการวิจัยของตัวเองเป็นแห่งแรก หลังจากนั้น 2 ปี บริษัทได้เปิดตัวสวิตช์ดิจิทัล ซึ่งเป็นอุปกรณ์แกนกลางที่สำคัญมากของเครือข่ายโทรคมนาคมในการทำหน้าที่ส่งและรับสัญญาณจากผู้ใช้โทรศัพท์ ประเทศจีนในตอนนั้นได้ยอมให้ประชาชนเข้าถึงการใช้ประโยชน์ของคลื่นโทรคมนาคมได้เป็นครั้งแรก ทำให้ประชาชนตื่นตัวมาก ด้วยระยะเวลาน้อยกว่า 10 ปี ประเทศจีนได้เดินหนีจากการไม่มีโทรศัพท์ส่วนตัวไปสู่ประเทศแรกที่มีเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐานทั่วประเทศและมีหลายเครื่อข่ายสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่

ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มมากที่สุดในช่วงนี้คือบริษัทที่ขายอุปกรณ์โทรคมนาคมต่างชาติอย่าง Siemens, Alcatel, Nokia, Motorola, Ericsson และ Nortel ผู้ที่เป็นเบื้องหลังของความสำเร็จของผู้ให้บริการรายใหญ่ของประเทศเช่น China Telecom, China Mobile และ China Unicom

บริษัทเหล่านี้ มีฐานลูกค้าในมณฑลที่มีรายได้มากและเมืองในตะวันออกของประเทศ จากกวางเจาในทางใต้สู่ปักกิ่งและ เทียนจินในทางตอนเหนือของประเทศ ที่ที่ผู้บริโภคมีความต้องการอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงกว่าที่บริษัทขายอุปกรณ์ต่างชาติมีให้

แต่เนื่องจากกฎหมายของรัฐบาลจีนกล่าวไว้ว่าทุกมณฑลต้องซื้ออุปกรณ์จากผู้ขายสองเจ้าขึ้นไป ซึ่งเป็นการเปิดประตูให้ Huaweii ได้กลายมาเป็นเบอร์สองของการขายอุปกรณ์ในพื้นที่ตอนกลางที่ยากจนของประเทศ คำสั่งซื้อมีจำนวนน้อยในช่วงแรก แต่ก็ทำให้วิศวกรของ Huawei ได้ฝึกฝนประสบการณ์การทำงานติดตั้งอุปกรณ์และได้เห็นการทำงานของระบบต่างๆ ในอุปกรณ์ของชาวต่างชาติทั้งหลาย

การขับเคลื่อนด้วยความต้องการของ Ren ที่ทำให้ Huawei ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างต่อเนื่องผ่านการทำวิจัยและพัฒนา และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลที่ต้องการให้ Huawei เข้ามาแทนที่บริษัทขายอุปกรณ์ต่างชาติให้ได้ แม้ว่าความสามารถของตัวสวิตช์ที่ Huaweii พัฒนาขึ้นมายังไม่ดีพอ แต่เนื่องจากราคาที่ถูกทำให้มันบวกลบหักกลบช่องว่างนั้นได้ สุดท้าย Ren สามารถตัดหน้าบริษัทต่างชาติจากราคาที่ถูกกว่า และสามารถเอาชนะรัฐวิสาหกิจได้จากคุณภาพที่ดีกว่า ทำให้ Ren เริ่มหาลูกค้าในชายฝั่งตะออกของประเทศ

แพ็กกระเป๋า ลุยต่างประเทศ

ในปี 1977 Huawei ได้เริ่มคลืบคลานก้าวข้ามชายแดนของประเทศจีนไปสู่ฮ่องกง ในการร่วมมือกับเครื่องขายโทรศัพท์ Hutchison Telecom ภายในระยะเวลา 8 ปี Huaweii ได้ขายฐานลูกค้าไปทั่วทั้งทวีปเอเชีย และเริ่มต่อไปที่ แอฟริกา ละตินอเมริกา และในที่สุด ยุโรป ทำให้รายได้นอกประเทศของ Huawei มีมากกว่ารายได้ภายในประเทศ เพื่อทำการตอกฝาโลงของความสำเร็จ Ren ยืนยันให้พนักงานขายเปิดราคาต่ำกว่าคู่แข่งเสมอ ประมาณ 5-15% จากรายงานโดย The Wharton School

ตั้งแต่เริ่มแรกของการก่อตั้งธุรกิจ ไม่ว่าลูกค้ารายนั้นจะมีขนาดเล็กแค่ไหนก็ตาม Huaweii ก็พร้อมที่เข้าไปให้บริการ  ในช่วงเวลาทองของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ตั้งแต่ 1990 จนถึงวิกฤตการณ์ Dotcom วิธีการที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากบริษัทต่างชาติอื่นที่มีความต้องการจะขายทั้งระบบให้กับบริษัทใหญ่เท่านั้น

ในทางตรงกันข้าม Huaweii พัฒนาอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้เหมาะสมกับธุรกิจที่มีขนาดที่เล็กกว่า ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของตลาดในขณะนั้น และอุปกรณ์ของ Huawei สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นกับระบบเดิมที่มีอยู่ของลูกค้าได้

และหนทางของความสำเร็จนี้ มาจากการที่ Huaweii จ้างพนักงานวิศวกรคอมพิวเตอร์และโปรแกรมมิ่งในการคิดหาวิธีที่จะทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งพนักงานเหล่านั้นเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสดๆ ร้อนๆ

ทุกวันนี้ รายได้กว่า 39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ 2 ใน 3 มาจากต่างประเทศทั่วโลก ยกเว้นประเทศสหรัฐฯ เนื่องจากการควบคุมจากฝ่ายความมั่นคงจากวอชิงตัน ที่มีความคิดว่า Huaweii เป็นตัวแทนของรัฐบาลจีน

แทนที่จะผลิตสินค้าที่ ว้าว แต่ Huawei มุ่งหน้าสร้างนวัตกรรมที่ไปตอบสนองความต้องการของลูกค้าระดับรองลงมา เริ่มจากลูกค้าในประเทศและขยายไปสู่ตลาดที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่ในต่างประเทศ ทำให้ไม่ต้องไปต่อกรโดยตรงกับผู้เล่นรายใหญ่จากยุโรปและอเมริกา ทำให้พื้นที่ของผู้เล่นรายใหญ่ลดลง ทำให้ภายในปี 2012 คู่แข่งด้านเครือข่ายโทรคมนาคมรายเดียวที่ยังเหลืออยู่คือ Ericsson และผู้ผลิตเราท์เตอร์และสวิชต์คือ Cisco เท่านั้น

จากหลังบ้าน สู่ “มือ” ผู้บริโภค

ที่ผ่านมา Huawei ลงทุน ผลิต และจำหน่ายอุปกรณ์ “หลังบ้าน” มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเครือข่าย คลาวด์ อุปกรณ์สำนักงาน รวมทั้งชิ้นส่วนภายในโทรศัพท์มือถือยี่ห้ออื่น ฯลฯ แต่เมื่อปี 2009 โทรศัพท์มือถือแบรนด์หัวเว่ยที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ก็ถือกำเนิดขึ้น โดยเป็นความร่วมมือกับ T-Mobile แต่ความสำเร็จจริงๆ จังๆ ของหัวเว่ยในสนามสมาร์ทโฟนเกิดขึ้นในปี 2011 เมื่อสมาร์ทโฟนรุ่น C8500 ขายเกลี้ยงในประเทศจีน หลังจากวางจำหน่ายไป 100 วัน

หลังจากนั้น Huawei ก็ติดสปีดในตลาดนี้เต็มพิกัด ด้วยการปล่อยซีรี่ย์ P ซึ่งมีความเป็นแฟชั่นมากขึ้นลงสู่ตลาด โดยเลือกเปิดตัวในงาน CES ซึ่งเป็นงานเปิดตัวสินค้าไอทีที่ Geek ที่สุดในโลกในเดือนมกราคม 2012 ไตรมาส 4 ของปีเดียวกัน หัวเว่ยก็ขึ้นแท่นเบอร์ 3 ของโลกทันที

หัวเว่ยยังเผยวิสัยทัศน์ในการบุกเข้าสู่ตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ สุดยอดนักฟุตบอลอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ เป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายที่อเมริกาใต้กระฉูด

Partnership ที่ก้าวเข้ามายกระดับแบรนด์

จุดเปลี่ยนสำคัญของหัวเว่ยอยู่ที่การจับมือเป็นพันธมิตรกับ Leica แบรนด์กล้องระดับโลกจากเยอรมนี “ไลก้า” เข้ามาช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือของหัวเว่ยอย่างก้าวกระโดด ในโลกที่ “การถ่ายภาพ” เป็นเรื่องที่ทดสอบได้ง่ายที่สุดเมื่อผู้บริโภคอยู่ในร้านขายโทรศัพท์ รวมทั้งเป็นฟังก์ชันที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุด เลนส์ของไลก้า ที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดภาพถ่ายอันเป็นเอกลักษณ์ เมื่อผนวกกับเทคโนโลยี AI ของหัวเว่ย ก็ยิ่งทำให้ประสบการณ์การถ่ายภาพจากกล้องในโทรศัพท์มือถือของหัวเว่ยดีขยิ่งขึ้น

ดีลนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2014 แต่กว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างให้ผู้บริโภคเห็นก็ปี 2016 ในโทรศัพท์มือถือรุ่น Huawei P9 ซึ่งไม่ใช่แค่เลนส์กับโลโก้ที่แปะบนสินค้าเท่านั้น ยังมีเซ็นเซอร์ ISP รวมทั้งทีมวิศวะและทีมดีไซน์ร่วมกันอีกด้วย

โจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้ให้หลุด

อย่างไรก็ตาม การสร้างแบรนด์ที่แสนจะยากลำบาก แต่ในโลกโซเชี่ยลมีเดียปัจจุบัน การพังทะลายของแบรนด์กลับเกิดขึ้นอย่างง่ายดายเพียงชั่วข้ามคืน และยิ่งกับกรณีของหัวเว่ย ไม่ใช่ครั้งแรกที่พญามังกรรายนี้ โป๊ะแตก! ถูกจับได้ว่าภาพโฆษณาที่โปรโมทว่าเป็นผลงานการถ่ายภาพเป็นผลงานของกล้องจากโทรศัพท์มือถือของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเกิดจากการปั้นแต่งด้วยกล้อง DSLR จนกลายเป็นเรื่องราวให้ถูกล้ออยู่บ่อยครั้ง 

นี่คือเส้นทางการก้าวเดินของ “หัวเว่ย” จากชีวิตของผู้ตั้ง วิศวกรผู้เติบโตจากดินแดนทุรกันดารของจีน ปัจจุบันสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เซินเจิ้นที่ๆ เคยคิดว่ามีแต่ของก๊อป แต่ตอนนี้หัวเว่ยกลับผงาดเป็นแบรนด์ที่ติด Top 100 ของโลก จากการจัดอันดับของ Forbes และมียอดขาย 86,000 ล้านเหรียญต่อปี มีพนักงาน 180,000 คนใน 170 ประเทศ ครองส่วนแบ่ง 20% ในตลาดโทรศัพท์มือถือ และสร้างความหวั่นไหวให้กับ Apple และ Samsung


แชร์ :

You may also like